ณ เวลาปัจจุบัน (ปี 2019) จักรวาลหนังทั้งสองเรื่องคือ Alien และ Predator ไม่ได้อยู่ในจักรวาลเดียวกันแล้วนะครับ แต่เนื้อหาในบทความนี้ ผมยังคงเอาทั้งสองจักรวาลมารวมกันและเรียงเป็นไทม์ไลน์ ไปเริ่มกันเลยครับ
โลกในอดีตบรรพกาลประมาณ 5,000 ล้านปีที่แล้ว.. เมื่อครั้งยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเกิดขึ้นบนโลก มนุษย์ต่างดาววิวัฒนาการสูงนามว่า “Engineer” (เอนจิเนียร์) หรือ “ผู้สร้าง” ได้เดินทางมาที่โลก
และผู้สร้างตนหนึ่ง ได้สละชีพตนเองเพื่อเพาะพันธุ์พันธุกรรมขึ้นใหม่ที่โลก โดยผู้สร้างกินสารชนิดหนึ่งเข้าไป สารนั้นเข้าไปย่อยสลาย DNA ผู้สร้าง ร่างทั้งร่างที่ย่อยสลายของผู้สร้างนั้นตกลงไปในแม่น้ำไหลสู่ทะเล
“ผู้สร้าง” (Alien 4: Prometheus)
DNA ที่ย่อยสลายของผู้สร้างนั้น เรียงตัวประกอบ DNA กันขึ้นใหม่ภายในสภาวะที่มีปัจจัยเป็นน้ำในการดำรงชีวิต จนกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเท่าๆแพลงตอนในทะเล ก่อนจะค่อยๆวิวัฒนาการคลานขึ้นมาจากทะเลสู่บกกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน และวิวัฒนาการผ่านกาลเวลาที่ยาวนานเรื่อยมา จนเกิดเป็นมนุษย์ จึงถือได้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นกำเนิดมาจากผู้สร้าง
โลกในอดีตบรรพกาล 36,000 ปีก่อนโดยประมาณ มนุษย์บางส่วนรู้ถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์ตน ว่ามาจากผู้สร้าง จึงได้ทำการเชิดชูบูชาผู้สร้าง และทำการบันทึกเหตุการณ์ในครั้งที่ผู้สร้างมาเยือนโลกไว้ตามอารยธรรมดึกดำบรรพ์ต่างๆทั่วโลก มีทั้งรูปหมู่ดาวอันไกลโพ้น 6 ดวง ที่ผู้สร้างจากมา กำเนิดเป็นจิตรกรรมแปลกประหลาดถึงการบูชาผู้สร้างนี้ไว้มากมายหลายทวีป นั่นแสดงว่า ผู้สร้างตนอื่นๆมาโลกอีกหลายครั้งหลังจากส่วนนึงของผู้สร้างวิวัฒฯเป็นมนุษย์
ผู้สร้าง ชี้ทางไปหมู่ดาวทั้ง 6 ซึ่งมี LV-223 และ LV-426 อีก 4 ดวงไม่รู้ (Alien 4: Prometheus)
หมื่นปีก่อนคริสตกาล ยานอวกาศของผู้สร้างได้ลงจอดที่ดาว LV-223 และดาว LV-426 โดยใช้ “สารดำ” เพื่อเพาะพันธุ์สิ่งมีชีวิตสุดอันตรายนามว่า Xenomorph (ซีโนมอร์ฟ) ซึ่งซีโนมอร์ฟจะมีรูปร่างขนาดและความพิเศษแตกต่างกันแล้วแต่โฮสท์ที่มันฟักตัว หลังจากนั้น ผู้สร้างก็กำลังจะนำสารดำนี้มาทำลายโลกมนุษย์
แต่พวกผู้สร้างกลับพบเจอกับวิกฤติการณ์ร้ายแรงจากซีโนมอร์ฟสายพันธุ์บนดาวนี้ที่พวกเค้าสร้างขึ้น ทำให้ผู้สร้างทุกชีวิตถูกซีโนมอร์ฟฆ่าตายไปทั้งหมด ก่อนที่ผู้สร้างคนหนึ่งจะตาย จึงรีบปิดห้องเพาะพันธุ์ซีโนมอร์ฟ เพื่อเก็บสารดำไว้ในอุณภูมิที่สารดำจะไม่เจริญเติบโตได้อีก
ดาว LV-223 (ทางขวา) และดาว LV-426 (ดวงเล็กทางซ้าย) (Alien 4: Prometheus 2012)
ที่สุดแล้ว ผู้สร้างจึงเหลือรอดเพียงคนเดียวบนดาว LV-223 นั่นคือสเปซจ๊อกกี้หรือผู้สร้างที่มีหน้าที่ขับยาน เพราะสเปซจ๊อกกี้ถูกทำให้หลับในสภาวะจำศีล (Hypersleep) รอเพื่อนๆอยู่ก่อนเกิดวิกฤติ ยานของผู้สร้างจึงจอดสงบนิ่งอยู่ที่ดาว LV-223 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสารดำก็อยู่สงบนิ่งในห้องกักอุณหภูมิของยานนับตั้งแต่นั้นเช่นกัน
แต่ในดาว LV-426 ที่อยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งผู้สร้างได้ตั้งอาณานิคมที่นี่เช่นกัน ผู้สร้างทุกคนที่นี่ตายทั้งหมด โดยซีโนมอร์ฟ สังหารผู้สร้างเรียบทั้งยาน โดยที่ดาว LV-426 ทดลองกันจนเกิด Ovomorph (โอเวอร์มอร์ฟ) ขึ้นมาเลย ซึ่งมันคือไข่ซีโนมอร์ฟที่ยังไม่ฟักตัวอยู่ในอุณภูมิที่ไม่เจริญเติบโต
โอเวอร์มอร์ฟ หรือ ไข่ซีโนมอร์ฟ (Alien 1 ปี 1979)
หลายพันปีก่อนคริสตกาล ย้วตจา (Yautja) เผ่าพันธุ์นักล่าอารยธรรมสูง ได้เดินทางมาที่โลกมนุษย์ และสั่งสอนให้มนุษย์รู้จักวิธีปลูกสร้างปีรามิดและการสร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์สมัยนั้นจึงนับถือย้วตจาเป็นเทพเจ้า และย้วตจาก็กักขัง Queen Xenomorph (ควีนซีโนมอร์ฟ) ไว้ในปีรามิดนี้หนึ่งตัว
ทุกๆหนึ่งร้อยปี ย้วตจาจะกลับมา เพื่อให้มนุษย์สังเวยร่างเป็นเหยื่อให้กับตัวอ่อนซีโนมอร์ฟเข้าไปทำฝังตัวในตัวเหยื่อ เมื่อย้วตจาเพาะพันธุ์ซีโนมอร์ฟเพื่อไว้ใช้สู้แล้ว ทุกร้อยปีย้วตจาจะส่งนักล่าฝึกหัดลงมาโลก 3 ชีวิต เพื่อสู้กับซีโนมอร์ฟโฮสท์มนุษย์ ถ้าใครชนะก็จะได้สัญลักษณ์แห่งนักล่าเพื่อเป็นเกียรติในสมรภูมินี้
ย้วตจา สุดยอดนักล่า (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
แต่แล้วก็มีการต่อสู้ครั้งหนึ่งที่ย้วตจาทั้ง 3 ควบคุมไม่ได้ ลูกๆซีโนมอร์ฟโฮสท์มนุษย์ออกมามากมายเกินไป ย้วตจาตัวสุดท้ายจึงทำการระเบิดทุกสิ่งทิ้ง อารยธรรมของมนุษย์จึงสูญสิ้นไปพร้อมกับฝูงซีโนมอร์ฟหลายร้อยตัวภายในคืนเดียว คงเหลือเพียงปีรามิดดั้งเดิมที่ยังคงกักขังควีนซีโนมอร์ฟอยู่ภายใน
แต่ก็ยังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่นอกรัศมีการระเบิด มนุษย์ที่รอดชีวิตจากที่นั่น จึงเดินทางไปตั้งรกรากตามทวีปต่างๆทั่วโลก และแพร่เผ่าพันธุ์สร้างอารยธรรมขึ้นใหม่ เช่น ขอม / ไอยคุปต์ / แอซแทค เป็นต้น..
อารยธรรมมนุษย์ยุคเริ่มต้นล่มสลาย (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
แต่ย้วตจา ยังคงลงมาที่ปีรามิดโบราณนี้ทุกๆ 100 ปีเช่นเดิม เพื่อทำการท้าทายย้วตจานักล่าฝึกหัดเสมอมา ซึ่งปัจจุบันปีรามิดอันนี้ อยู่ใต้เกาะโบเวโทย่า ซึ่งอยู่บริเวณแอนตาร์กติก้า (ขั้วโลกใต้) ห่างไกลจากแหล่งชุมชนถึง 1,000 ไมล์ และอยู่ในสภาพอุณภูมิต่ำ ควีนซีโนมอร์ฟจึงอยู่ในสภาวะถูกแช่แข็ง..
ปี 1987 ที่สาธารณรัฐกัวเตมาลา Dillon (ดิลล่อน) หัวหน้า CIA ประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ ขอร้องให้นายพลประจำฐานทัพกัวเตมาลา เรียกตัวนายทหารเพื่อนเก่าตนเองมาปฎิบัติภารกิจแกะรอยช่วยเหลือบุคคลสำคัญ ซึ่งเพื่อนเก่าดิลลอนก็คือผู้พัน Dutch (ดัช) ผู้นำกองกำลังทหารพิเศษ ที่ทำหน้าที่แนวนี้โดยเฉพาะ
18 ชั่วโมงต่อมา.. ดัชพร้อมด้วยทีมของเค้าจึงเดินทางมาถึงฐานทัพสหรัฐฯในกัวเตมาลาเพื่อรับทราบภารกิจ ดิลลอนบอกที่มาของภารกิจกับดัชว่า รัฐมนตรีกัวเตมาลาและคณะ เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ผ่านบริเวณป่าดิบชื้นและหายสาปสูญไประหว่างทาง ซึ่งดิลลอนกับนายพลฐานทัพสหรัฐในกัวเตมาลาประเมินว่า รัฐมนตรีอาจโดนกองกำลังกบฎภายในพื้นที่ป่าลึก ลักพาตัว
โดยดิลลอนจะเข้าป่าไปกับทีมของดัชด้วย ซึ่งเมื่อภารกิจช่วยรัฐมนตรีลุล่วงแล้ว ทีมของดัชต้องถอนกำลังมาที่จุดนัดพบชายแดนกัวเตมาลาเพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์ โดยมีระยะเวลาปฎิบัติการไปและกลับรวมทั้งสิ้นเพียง 24 ชม.
ดัช ผู้นำกองกำลังทหารพิเศษ กับ ดิลลอน ซีไอเอประจำทวีปอมเริกาใต้ (Predator 1 ปี 1987)
ทีมของดัชรวมดิลลอนแล้วจึงมีทั้งหมด 7 คน เมื่อทุกคนไปถึงกลางป่าจุดที่ดิลลอนบอกว่าคณะรัฐมนตรีหายไป ทุกคนก็ได้พบกับซากศพมนุษย์ที่ถูกแล่หนังออก และแขวนห้อยหัวอยู่กลางป่าหลายศพ คล้ายกับเป็นพิธีกรรมบางอย่าง
ทีมช่วยเหลือของดัชบุกไปจนถึงแคมป์กลางป่าของกองกำลังกบฎ แต่กลับกลายเป็นว่านี่คือปฎิบัติการลวง แท้จริงแล้วเฮลิคอปเตอร์ที่หายสาปสูญไปนั้นคือเจ้าหน้าที่ CIAเพื่อนๆของดิลลอน และพวกกองกำลังกบฎในฐานนี้เตรียมจะยกกองกำลังพร้อมอาวุธหนักข้ามชายแดนไปรุกรานประเทศกัวเตมาลา ดิลลอนจึงหลอกให้ดัชมาถล่มที่นี่นั่นเอง
แต่ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ไม่สมเหตุผลอยู่ นั่นก็คือซากศพที่โดนถลกหนังนั้นล้วนแล้วแต่เป็น CIA เพื่อนๆของดิลลอนทั้งสิ้น แต่..ใครเป็นผู้ทำแบบนั้น? นี่แสดงว่าต้องมีมือที่สามอีกกลุ่มนึงนอกเหนือจากกองกำลังกบฎและทีมของดัช..
ซากศพเจ้าหน้าที่ CIA โดนถลกหนัง (Predator 1 ปี 1987)
เมื่อดัชรู้ว่าตนเองโดนดิลลอนหลอก ก็สั่งให้ทีมถอนกำลังไปที่ชายแดนทันที ดิลลอนนำหญิงสาวที่ชื่อ Anna หนึ่งในกองกำลังกบฎมาด้วย คนทั้ง 8 จึงรีบเดินทางลัดเข้าไปในป่าทึบเพื่อไปให้ถึงชายแดนจุดนัดพบให้เร็วที่สุด
แต่ขณะเดินทางถอนกำลังนั้น.. ทีมของดัชก็เริ่มโดน “บางสิ่ง” ตามสังหารไปสอง ซึ่งดูเหมือนแอนนาหนึ่งในกองกำลังกบฎจะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นชาวบ้านเรียกมันว่า นักล่า (นักล่า = ย้วตจา)
แอนนายังบอกดัชอีกด้วยว่า ย้วตจามักจะมาปรากฎในพื้นที่แถบนี้ช่วงฤดูร้อนจัดเท่านั้น (ฤดูไล่ล่า) และมักมีผู้คนโดนฆ่าอย่างทารุณต่างๆนาๆ รวมถึงการโดนถลกหนังทั้งตัวเหมือนเพื่อน CIA ของดิลลอนที่ฮ.ตกและโดนเช่นกัน ซึ่งทุกคนที่โดนย้วตจาฆ่า ล้วนเป็นนักสู้หรือนักล่าที่มีฝีมือด้วยกันทั้งสิ้น
แอนนาบอกดัชและดิลลอนว่า ย้วตจาพรางตัวได้เหมือนกิ้งก่า (Predator 1 ปี 1987)
ดัชจึงคิดว่า ต้องปักหลักสู้กับมัน ดัชและลูกทีมจึงวางกับดักและซุ่มรอย้วตจาเข้ามาติดกับ ในที่สุดทีมของดัชที่เหลือก็ได้เผชิญหน้ากับย้วตจา และเห็นวิทยาการการพรางตัวของมันชัดๆคาตา ที่สุดแล้วทุกคนก็โดนย้วตจาสังหารไปทีละคน ทีละคน จนเหลือเพียงแอนนาและดัชเท่านั้น
นักล่า หรือ ย้วตจา ตัวที่ดัชปะทะ (Predator 1 ปี 1987)
ดัชบอกให้แอนนาวิ่งหนีไปที่จุดนัดพบก่อน และต่อจากนั้นดัชก็เริ่มค้นพบวิธีที่จะต่อสู้กับย้วตจา นั่นคือการเอาโคลนมาทาตัวเพื่อไม่ให้มันจับความร้อนได้ ซึ่งในที่สุดดัชก็ปราบย้วตจาได้สำเร็จ ก่อนที่มันจะตาย ย้วตจาจึงเปิดระบบระเบิดทำลายตัวเอง เพื่อลบล้างหลักฐานการมีตัวตนของมัน
ป่าในกัวเตมาลาราบเป็นหน้ากลองกินวงกว้างไปหลายเอเคอร์ เมื่อควันการระเบิดจางลง นายพลของฐานทัพสหรัฐในกัวเตมาลาก็มารับดัช และดัชกับแอนนาก็เป็นเพียงสองคนที่รอดชีวิตในเหตุการณ์นี้..
ทีมของผู้พันดัชทั้ง 7 คนในป่ากัวเตมาลา (Predator 1 ปี 1987)
ปี 1997 ประเทศอเมริกา รัฐแคลิฟอเนีย ผ่านมาได้ 10 ปี หลังจากเหตุการณ์ในป่ากัวเตมาลา ฤดูกาลร้อนแห่งการไล่ล่าของย้วตจาก็กลับมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันโผล่มากลางเมืองลอสแองเจิลลิสเลยทีเดียว ขณะที่ผู้ค้ายาของโคลัมเบียกำลังปะทะกับกองกำลังตำรวจแอลเอกลางถนนนั้น ผู้ค้ายาโคลัมเบียห้าคนได้ถอยร่นเข้าไปในอาคารแห่งนึง
ตำรวจนักสืบ Mike Harrigan (ไมค์ แฮริแกน) และทีมตำรวจตามผู้ค้ายาโคลัมเบียเข้าไปในอาคารติดๆ แต่พวกผู้ค้ายาโคลัมเบียในตึกก็โดนบางอย่างฆ่าเรียบ เหลือเพียงคนเดียวที่โดนไมค์ยิงตกดาดฟ้าไป และมีศพนึงที่โดนนำตัวขึ้นไปแขวนบนโครงหลังคาในห้องน้ำ
ตำรวจนักสืบ ไมค์ แฮริแกน กำลังมองศพผู้ค้ายาโคลัมเบีย (Predator 2 ปี 1990)
ไมค์โดนบีบให้ออกจากพื้นที่นั้นทันที และมีหน่วยงานลับมาเก็บกวาดนำหลักฐานทุกอย่างจากที่นั่นไปซะเกลี้ยง โดยหน่วยงานลับนั้นนำโดย Peter Keyes (ปีเตอร์ คีย์เยส) เจ้าหน้าที่ของ CIA ที่แฝงตัวมาพัวพันเรื่องนี้..
ไมค์นั้นคาดการณ์ว่า การฆาตกรรมผู้ค้ายาโคลัมเบียครั้งนี้ น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มค้ายาอีกฝ่าย นั่นคือพวกแก๊งวูดูจาไมก้า และย้วตจาก็ดูเหมือนว่าจะจ้องเล่นงานพวกวูดูจาไมก้าเช่นกัน เพราะย้วตจามองว่าคนเหล่านี้ก็คือนักสู้เหมือนกัน แก๊งวูดูจาไมก้าจึงโดนสังหารเรียบ ณ เพนท์เฮ้าส์หรูของตนกลางเมือง
ไมค์และทีมตำรวจของตนจึงเข้าไปสำรวจที่เกิดเหตุฆาตกรรมหมู่แก๊งวูดูจาไมก้า และพบศพมากมายที่โดยแขวนห้อยหัวดังเช่นแก๊งโคลัยเบียโดน นี่จึงเป็นเบาะแสว่า ผู้ฆาตกรรมแก๊งโคลัมเบียกับผู้ฆาตกรรมแก๊งวูดูจาไมก้า คือคนคนเดียวกันอย่างแน่นอน
ทีมตำรวจของไมค์พบศพแก๊งวูดูจาไมก้าโดนแขวนเกลื่อนเพนท์เฮ้าส์ (Predator 2 ปี 1990)
และย้วตจารู้แล้วว่าไมค์เหมาะสมกับการเป็นนักสู้ ย้วตจาจึงฆ่าตำรวจเพื่อนร่วมงานไมค์ไปทีละคน ในที่สุดไมค์ก็รู้ความจริงที่ว่า หน่วยงานลับนี้เป็นของรัฐบาล ซึ่งได้รับรู้เรื่องราวนักล่าหรือย้วตจามาจากนายพันดัช ซึ่งเคยต่อสู้กับย้วตจาในกัวเตมาลาเมื่อสิบปีที่แล้วนั่นเอง ทำให้หน่วยงานนี้รู้เทคโนโลยีการพรางตัวของย้วตจา และรู้ว่าย้วตจามองเห็นได้จากความร้อน
หน่วยงานลับนี้ต้องการจับเป็นย้วตจา แต่แผนการก็ล้มเหลวเพราะย้วตจารู้ทัน เนื่องจากย้วตจามองเห็นการเต้นของหัวใจด้วยนอกจากความร้อน ปีเตอร์ เคเยส ผู้นำหน่วยงานลับก็เสียชีวิตไป
ไมค์จึงต้องเข้าไปสู้กับย้วตจาด้วยตนเอง ไมค์ตามย้วตจาเข้าไปจนถึงยานอวกาศที่ซ่อนอยู่ในใต้ดิน และพบกับหัวกระโหลกสปีชี่ต่างดาวมากมายที่โดนย้วตจาล่ามา รวมถึงหัวกระโหลกของซีโนมอร์ฟหรือเอเลี่ยนด้วย
หัวกระโหลกเอเลี่ยน และหัวกระโหลกสปีชี่อื่นๆที่เป็นเหยื่อการล่าของพรีเดเตอร์ (Predator 2 ปี 1990)
ไมค์ฆ่าย้วตจาตัวที่บุกแอลเอได้สำเร็จ ย้วตจาอีกนับสิบตัวจึงเผยตัวออกมาให้ไมค์เห็น แต่กลับไม่ทำอะไรไมค์ คงเพียงแต่โยนปืนเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1715 ให้กับไมค์เพื่อเป็นรางวัลของนักล่า และย้วตจาร์ทั้งหมดก็แบกศพย้วตจาตัวที่ไมค์ฆ่าตายกลับไป (ย้วตจาให้เกียรติไมค์ในฐานะที่เป็นผู้ชนะในเกมส์การล่าครั้งนี้) และยานอวกาศของย้วตจาก็จากไป ไมค์จึงเป็นมนุษย์อีกคนที่สามารถชนะย้วตจาได้
หลังจากการปรากฎตัวของย้วตจาถึงสองครั้งบนโลก และโจมตีมนุษย์แบบโจ๋งครึ่ม แถมยังสูญเสีย ปีเตอร์ คีเยส เจ้าหน้าที่ CIA ที่เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจไป ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯกับ CIA ตั้งหน่วยงานลับอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อติดตามย้วตจาโดยเฉพาะ หน่วยงานนี้มีชื่อว่า Project Stargazer (โปรเจค สตาร์เกเซอร์)
ปี 2004 ผ่านมาอีก 7 ปีที่ตำรวจนักสืบไมค์ได้รับการยอมรับจากเหล่าย้วตจา ดาวเทียมเอกชนของบริษัท Weyland Indrustries. ก็จับสัญญาณความร้อนที่ส่งออกมาจากสิ่งปลูกสร้างดึกดำบรรพ์ได้ที่เกาะโบเวโทย่า ซึ่งอยู่บริเวณแอนตาร์กติก้า (ขั้วโลกใต้) เพราะย้วตจาเปิดความร้อนที่ปิรามิดโบราณ เพื่อปลุกควีนเอเลี่ยนและไข่ของมัน และเพื่อล่อมนุษย์
ย้วตจา 3 ตัว กำลังลงมาเล่นเกม (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
Charles Bishop Weyland เจ้าของบริษัท Weyland Indrustries. จึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิททำการระดมผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาร่วมทีมกัน เพื่อทำหน้าที่สำรวจโบราณสถานที่สาปสูญนี้
Alexa Woods สาวผิวสีผู้ชำนาญด้านสิ่งแวดล้อมและนำทาง คือหนึ่งในทีมสำรวจนี้ เมื่อทุกคนในทีมไปถึงสถานีสำรวจขั้วโลกใต้ของบริษัทเวย์แลนด์แล้ว ชาร์ลจึงมาบรีฟกับคนในทีมถึงขั้นตอนการทำงานและจุดประสงค์การสำรวจ
ชาร์ล บิชอป เวย์แลนด์ (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
จากการประเมินเบื้องต้นของบริษัทเวย์แลนด์ โบราณสถานนี้คล้ายปิรามิด ซึ่งอยู่ลึกลงไปจากชั้นน้ำแข็ง 2,000 ฟุต และรวม 3 อารยธรรมโบราณเข้าด้วยกัน คือ ขอม ไอยคุปต์ และ แอซแทค เป็นไปได้ว่านี่คือปิรามิดของอารยธรรมกลุ่มแรกๆของโลก ก่อนที่อารยธรรมจะกระจัดกระจายไปตามทวีปต่างๆนั่นเอง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าปิรามิดโบราณนี้อายุเท่าใด? และความร้อนที่ส่งออกมานั้น ออกมาจากอะไร?
ทีมสำรวจของชาร์ลนำทางโดยอเล๊กซ่า เดินทางมาจากสถานีสำรวจขั้วโลกใต้ของบริษัทเวย์แลนด์จนถึงเกาะโบเวโทย่า และค้นพบปิรามิดโบราณนี้จนได้ ซึ่งทางเข้าปีรามิดมีรูปปั้นของย้วตจา (แต่คนเหล่านี้ไม่รู้จักนะ) รวมถึงปฎิมากรรมฝาผนังภายในปิรามิดนั้นเต็มไปด้วยภาพการต่อสู้ของซีโนมอร์ฟและย้วตจา แต่อเล๊กซ่าและทีมสำรวจก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสองตัวนี้คืออะไร
ปฎิมากรรมรูปปั้นย้วตจาคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้าปิรามิดโบราณ (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
ยานแม่ของย้วตจาเข้ามายังชั้นบรรยากาศโลก และส่งกระสวยอวกาศลงมาสามลำ ซึ่งมีย้วตจาอยู่ภายใน ฤดูการท้าชิงสุดยอดนักล่าในทุก 100 ปีได้เกิดขึ้นอีกครา แต่ครั้งนี้ย้วตจาไม่ได้มาท้าชิงมนุษย์ มันกลับมาท้าชิงสัตว์ต่างดาวที่แสนดุร้ายที่มันฝังไว้ที่นี่มาเนิ่นนานนับหลายพันปี นั่นก็คือ ซีโนมอร์ฟ
เป็นโชคร้ายของทีมสำรวจชาร์ล เมื่อต้องมาอยู่ตรงกลางของการต่อสู้อันดุร้ายป่าเถื่อนนี้ (ถูกล่อให้มาเป็นโฮสท์ให้ตัวอ่อนซีโนมอร์ฟ) ควีนซีโนมอร์ฟที่จำศีลในใต้น้ำแข็งมาเนิ่นนานก็ได้รับการปลุก ทำใหควีนซีโนมอร์ฟและตัวอ่อนในไข่หลายสิบตัวได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในรอบหลายพันปี..
ปิรามิดนี้ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา มันคือลานต่อสู้นั่นเอง ซึ่งการต่อสู้ของซีโนมอร์ฟและย้วตจาทั้งสามเป็นไปอย่างดุเดือด ทีมสำรวจของชาร์ลโดนฆ่าตายไปทีละคน ทีละคน จนตายตายเกลี้ยงจากการต่อสู้นี้ ไม่เว้นแม้แต่ชาร์ล เหลือเพียงอเล๊กซ่าเพียงคนเดียว และย้วดจาทั้งสามก็โดนเอเลี่ยนฆ่าไปสอง เหลือเพียงตัวเดียวเช่นกัน
อเล๊กซ่าสังหารซีโนมอร์ฟได้ จึงได้รับการยอมรับจากย้วตจาตัวสุดท้ายให้เป็นนักล่าเฉกเช่นตน และมันก็ตัดหางซีโนมอร์ฟตัวที่อเล๊กซ่าฆ่ามาทำเป็นหอก เพื่อไว้ให้อเล๊กซ่าใช้เป็นอาวุธ และตัดกระโหลกของซีโนมอร์ฟตัวนั้น เพื่อให้อเล๊กซ่าใช้เป็นโล่
นักล่าสองสปีชี่ย์ร่วมกันล่าเอเลี่ยนทั้งฝูง (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
ซีโนมอร์ฟที่ฟักออกมาจากโฮสท์มนุษย์ทีมสำรวจ ได้ร่วมกันไปช่วยปลดปล่อยพันธนาการของควีนซีโนมอร์ฟ ด้วยการกัดเลือดตัวเองให้สาดไปที่ตรวนที่ล่ามควีนซีโนมอร์ฟเอาไว้เพื่อละลายตรวนเหล่านั้น ทำให้ควีนซีโนมอร์ฟเป็นอิสระ หลังจากถูกย้วตจาล่ามตรวนไว้หลายพันปี (เลือดซีโนมอร์ฟมีฤทธิ์กัดกร่อนโลหะให้ละลายได้)
อเล๊กซ่าและย้วตจาช่วยกันต่อสู้กับเหล่าลูกๆเอเลี่ยน ก่อนที่ย้วตจาจะทำการระเบิดปีรามิดโบราณนี้เพื่อฝังเหล่าซีโนมอร์ฟเอาไว้ภายใต้หุบเขาน้ำแข็ง หลังจากนั้นนั้นเพื่อเป็นเกียติที่ได้ร่วมสงครามด้วยกัน ย้วตจาตัวสุดท้ายในเกมส์การล่าจึงทำสัญลักษณ์นักล่าไว้บนแก้มซ้ายของอเล๊กซ่า
แต่ควีนซีโนมอร์ฟก็ขุดซากปรักหักพังขึ้นมาอีกรอบ อเล๊กซ่าและย้วตจาร่วมกันสู้กับควีนซีโนมอร์ฟ จนกระทั่งสามารถถ่วงควีนซีโนมอร์ฟกับถังน้ำเหล็กขนาดใหญ่ และจมควีนซีโนมอร์ฟลงสู่ก้นทะเลน้ำแข็งขั้วโลกใต้ได้สำเร็จ แต่ย้วตจาตัวสุดท้ายในฤดูการล่าครั้งนี้ก็ตายไปด้วยเช่นกัน
ย้วตจาตัวสุดท้ายโดนควีนซีโนมอร์ฟใช้หางแทง (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
ทันใดนั้นเหล่าย้วตจาและยานแม่ก็ปรากฎตัวขึ้น ตัวหัวหน้าฝูงย้วตจานั้นเห็นสัญลักษณ์นักล่าบนแก้มของอเล๊กซ่า จึงไม่ทำอันตรายเธอ และย้วตจาที่เหลือก็นำร่างนักล่าที่ตายอย่างมีเกียติในสงครามขึ้นยานแม่ ซ้ำยังมอบอาวุธประจำตัวของย้วตจาให้ไว้กับอเล๊กซ่าอีกด้วย ก่อนที่เหล่าพรีเดเตอร์จะบินจากโลกไปอีกครา
อเล๊กซ่า มนุษย์ที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรีเดเตอร์ (Alien vs. Predator 1 ปี 2004)
แต่เมื่อเหล่าย้วตจานำศพของนักล่าตัวสุดท้ายในเกมส์ที่เกาะโบเวโทย่าขึ้นยาน ภายในศพของย้วตจาตนนั้นกลับมีตัวอ่อนซีโนมอร์ฟอยู่ด้วย และซีโนมอร์ฟก็ออกมาจากโฮสท์ย้วตจา กำเนิดเป็นเอเลี่ยนสายพันธุ์ใหม่อีกขั้น (Predalien)
เมื่อเหล่าพรีเดเตอร์ได้รู้ว่ามีเอเลี่ยนตัวเจริญพันธุ์อยู่บนยาน จึงยิงปืนตูมตามภายในยานอวกาศ ผลทำให้ยานสูญเสียความดันและเสียการควบคุม ซึ่งยานก็ยังไม่พ้นจากโลกมนุษย์ไกลนัก ยานอวกาศของพรีเดเตอร์จึงตกลงไปยังโลกมนุษย์อีกครั้งบริเวณกลางป่าของเมืองกันนิสัน อเมริกาเหนือ ฟีโนไทป์มากมายที่อยู่ในหลอดแก้วบนยานพรีเดเตอร์จึงเป็นอิสระ และพวกมันก็เริ่มมองหาโฮสท์เพื่อฟักตัวกันต่อไป
หนึ่งในพรีเดเตอร์รีบส่งสัญญานไปหา Yautja Prime ที่ดาวแห่งทะเลทราย ถิ่นฐานของพรีเดเตอร์ทันที Yautja Prime จึงส่งพรีเดเตอร์ลงมาที่โลกมนุษย์ เพื่อทำการไล่ล่าเอเลี่ยนที่หลุดรอดไปจากยานอวกาศที่ตกของพวกมัน
ดาวแห่งทะเลทราย บ้านเกิด Yautja หรือ พรีเดเตอร์ (Alien vs. Predator 2 ปี 2007)
แต่พรีเดเตอร์ไม่ได้มาล่าเอเลี่ยนเพียงอย่างเดียว ว่างๆพวกมันจึงล่ามนุษย์ไปด้วยซะเลย โดยเหยื่อคนแรกของพรีเดเตอร์ก็คือ เรย์ผู้ช่วยนายอำเภอของเมืองนั่นเอง เมืองเล็กๆแห่งนี้จึงกลายเป็นสมรภูมิการต่อสู้ของเอเลี่ยนและพรีเดเตอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนเริ่มตายไปทีละคน ทีละคน
ศพของเจ้าหน้าที่เรย์ เหยื่อของพรีเดเตอร์ (Alien vs. Predator 2 ปี 2007)
นายอำเภอเอ็ดดี้ไม่มีทางเลือก จึงต้องแจ้งกองกำลังแห่งชาติถึงเหตุการณ์ตายประหลาดในเมืองนี้ แต่การสื่อสารในเมืองก็ถูกตัดหมด รวมถึงไฟฟ้าในเมืองด้วย และกว่ากองกำลังแห่งชาติจะมาถึง ชาวเมืองจึงต้องช่วยเหลือตนเองก่อน
ในที่สุดกองกำลังทหารแห่งชาติก็มาถึง และปะทะกับฝูงเอเลี่ยนเข้าอย่างจัง ทหารทั้งกองพันจึงถูกเอเลี่ยนฆ่าตายเรียบทั้งกอง นายอำเภอเอ็ดดี้และชาวเมืองจึงต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว
ชาวเมืองกันนิสันก็ปะทะกับเอเลี่ยน และเริ่มตายไปแทบหมดเมือง ซึ่งในที่สุดพรีเดเตอร์ก็ฆ่าเอเลี่ยนได้หมด เหลือเพียงตัวเดียวคือ เอเลี่ยนที่มีโฮสเป็นพรีเดเตอร์นั่นเอง การปะทะกันของสองสปีชี่ผู้รอดตายตัวสุดท้ายทั้งคู่จึงเริ่มขึ้นกลางเมืองกันนิสัน
Predalien Yautjomorph/Xenoyautja (Alien vs. Predator 2 ปี 2007)
การปะทะกันยังไม่ทันรู้ผล กองทัพสหรัฐฯจึงทิ้งบอมบ์เมืองกันนิสันซะเลย ผลทำให้ทั้งเอเลี่ยนและพรีเดเตอร์ตายทั้งหมด รวมถึงนายอำเภอเอ็ดดี้และชาวเมืองกันนิสันทั้งหมดที่ยังอยู่ในเมืองด้วย เหลือเพียงไม่ถึง 10 คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ (รอดเพราะอยู่บนเขา)
ผู้เก็บกวาดเมืองกันนิสันหลังจากฝุ่นควันระเบิดสงบ และเก็บอาวุธรวมถึงเทคโนโลยีทุกอย่างของพรีเดเตอร์มา ก็คือคนของ Yutani มหาเศรษฐีสาวชาวญี่ปุ่น เจ้าของ Yutani Corporation. นั่นเอง เพราะบริษัทยูทานิเป็นบริษัทที่ผลิตอาวุธให้กองทัพสหรัฐฯ
ยูทานิ (Alien vs. Predator 2 ปี 2007)
ซึ่งต่อจากนั้นบริษัทยูทานิ ก็เริ่มนำเทคโนโลยีของพรีเดเตอร์มาพัฒนา จนเป็นทั้งยานอวกาศ และอาวุธ รวมถึงหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ในเวลาต่อมา..
Yutani Corporation.
ปี 2010 เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนแห่งการไล่ล่าอีกครา นักสู้ทั่วโลก 8 คน ถูกคัดเลือกจากพรีเดเตอร์ให้มาสู่สมรภูมิการล่าที่ดาวเคราะห์ลับอันห่างไกล ซึ่งมีสภาพบรรยากาศคล้ายโลกมากที่สุด โดยนักสู้ทั้ง 8 คนประกอบไปด้วย
1.หน่วยปราบการก่อการร้ายรัสเซีย/
2.นักค้ายาข้ามชาติโคลัมเบีย /
3.หน่วยอาร์ยูเอฟของทวีปอาฟริกาใต้ /
4.ยากูซ่าจากญี่ปุ่น /
5.นักโทษที่รอการประหาร /
6.หมอหนุ่มผู้ลึกลับ(ฆาตกรโรคจิต) /
7 .รอยซ์ ทหารรับจ้างชาวยุโรป /
8.อิสซาเบล กองกำลังพิเศษอิสราเอล /
นักสู้จากโลกมนุษย์ 8 คน (Predator 3 ปี 2010)
ทุกคนจำครั้งสุดท้ายก่อนจะมาโผล่ที่นี่ได้เหมือนกันคือ มีแสงจ้าแว่บเดียว และรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่กลางอากาศแล้ว ทำให้ต้องรีบกระตุกร่มชูชีพทันที เมื่อนักสู้ทั้งแปดถึงพื้นก็ระแวงและจ้องจะฆ่ากัน แต่รอยซ์ก็ดึงสติทุกคน และแนะนำให้ทุกคนขึ้นไปที่สูงเมื่อพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่รู้ทิศทางเช่นนี้
แต่เมื่อทุกคนขึ้นไปยังที่สูงแล้ว นักสู้ทั้งแปดกลับพบกับภาพสุดช็อค เมื่อทั้งแปดพบว่าบัดนี้ตนเองไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว หากแต่อยู่ที่ดาวเคราะห์ที่ห่างไกลสักแห่งในจักรวาล ซึ่งไม่ใช่ระบบสุริยะจักรวาลแน่นอน เพราะดวงอาทิตย์ที่นี่ขึ้นยาวนานมาก ไม่มีทีท่าว่าจะตกเลย
จากที่สูงบนดาวเคราะห์ลึกลับ นักสู้ทั้งแปดเห็นดาวใกล้เคียงหลายดวง (Predator 3 ปี 2010)
นักสู้ทั้งแปดเริ่มรู้แล้วว่า อะไรบางอย่างพาทุกคนมาที่นี่เพื่อเกมส์การล่า ซึ่งในตอนนี้สถานะทั้งแปดคนคือผู้ถูกล่า เมื่อทุกคนเริ่มพบเบาะแสของมนุษย์ที่เคยโดนจับมาเช่นนี้ก่อนหน้าพวกเขา และพบกับพรีเดเตอร์ตัวนึงโดนจับไว้ ท่ามกลางซากศพของหลากหลายสปีชี่ที่โดนล่าและถลกหนังแขวนห้อยหัวมากมาย ซึ่งนักสู้ชุดนี้ก็เริ่มโดยสังหารไปสองคนแล้ว
Noland ทหารเรือผู้มาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว และเป็นมนุษย์ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ได้แสดงตัวและพาหกคนที่ยังรอดชีวิตไปยังที่หลบภัยของตนเอง โนแลนเล่าให้ทุกคนฟังทั้งหมดว่า มนุษย์ที่เข้าข่ายนักสู้ จะถูกนักล่า(พรีเดเตอร์)จับมาที่นี่ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้ว แต่มนุษย์โลกไม่เคยมีใครล่วงรู้เลย คิดว่าคนเหล่านั้นแค่หายสาปสูญไป
แต่ด้วยความสติแตกที่อยู่คนเดียวมานานหลายปี ทำให้โนแลนคุ้มคลั่งทำอะไรบ้าๆ พรีเดเตอร์ทั้งสามจึงบุกมาที่หลบภัยโนแลน และเริ่มไล่ฆ่าไปทีละคน ทีละคน ซึ่งนักสู้ชุดนี้ก็สู้อย่างสมเกียติ และสังหารพรีเดเตอร์ไปได้ถึงสองตัว
โนแลน ชายผู้รอดชีวิตในเกมส์มรณะยาวนานที่สุด (Predator 3 ปี 2010)
รอยซ์คิดจะขโมยยานอวกาศของพรีเดเตอร์หนีไปจากที่นี่ จึงคิดแผนจะไปช่วยพรีเดเตอร์ตัวที่โดนจับมัดให้ช่วยขับยาน ซึ่งที่สุดแล้วยานก็โดนระเบิดโดยพรีเดเตอร์หนึ่งในสาม
ถึงตอนนี้จึงเหลือเพียงอิสซาเบลและรอยซ์ (และก็ถึงช่วงเวลากลางคืนบนดาวเคราะห์ลึกลับนี้ซักที) ทั้งคู่ก็ร่วมกันสู้กับพรีเดเตอร์ตัวสุดท้ายจนกระทั่งเอาชนะได้สำเร็จ
เมื่อถึงรุ่งเช้าอีกวัน ทั้งคู่กำลังคิดหาทางหนีออกไปจากดาวเคราะห์นี้ ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าก็ปรากฎร่มชูชีพอีกหลายสิบชีวิตกำลังร่วงลงมา ซึ่งก็คงต้องเจอกับสถานการณ์เลวร้ายเช่นรอยซ์กับอิสซาเบลเป็นแน่ ทั้งคู่จึงต้องอยู่สู้ต่อไป เพราะฤดูร้อนแห่งเกมส์การล่ายังไม่จบ (พรีเดเตอร์คงจะส่งลงมาอีกสามตัวเพื่อเกมส์ครั้งต่อไปนั่นเอง)
รอยซ์และอิสซาเบลแหงนมองร่มชูชีพของสิ่งมีชีวิตนับสิบ (Predator 3 ปี 2010)
ปี 2015 – 2017 ที่โลกมนุษย์ Peter Weyland เจ้าของบริษัท Weylan Corp. ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก จากการประดิษฐ์คิดค้นวิทยาการล้ำสมัยมากมาย ทำให้ปีเตอร์ได้รับตำแหน่ง Sir จากอังกฤษ เป็นเซอร์ตั้งแต่อายุยังน้อย
มิสเตอร์เวย์แลนด์ มีความประสงค์ที่จะค้นหาและสำรวจสิ่งต่างๆทั้งในโลกและนอกโลก และมิสเตอร์เวย์แลนด์ก็เริ่มมีความคิดที่จะผลิตหุ่นแอนดรอยด์เสมือนมนุษย์ขึ้นมา..
มิสเตอร์เวย์แลนด์ (Peter Weyland’s 2023 TED Talk ปี 2012)
ที่กลางอวกาศอันไกลโพ้น.. ย้วตจาไฮบริด ขับยานอวกาศหนีการไล่ล่าของย้วตจาอัพเกรด และจั๊มป์เข้ารูหนอนมาโผล่นอกชั้นบรรยากาศโลก ย้วตจาไฮบริดเข้าไปในกระสวยลี้ภัย ดีดตัวเองออกมาจากยานแม่ ก่อนที่กระสวยลี้ภัยจะตกลงที่แม็กซิโก ส่วนยานแม่นั้นพุ่งไปที่สหรัฐฯ
ยานอวกาศของย้วตจาไฮบริด (The Predator 2018)
ปี 2018 ที่แม็กซิโก ในระหว่างที่ทีมแรนเจอร์ของกองทัพสหรัฐฯ 3 นาย กำลังปฎิบัติภารกิจจับกุมพ่อค้ายา กระสวยลี้ภัยของย้วตจาไฮบริดก็ตกลงมาที่แม็กซิโก กระสวยตกบริเวณปฎิบัติการหน่วยแรนเจอร์พอดี ทุกอย่างจึงโกลาหลไปหมด
สไนเปอร์มือพระกาฬของแรนเจอร์นามว่า Quinn McKenna (ควินน์ แม็กแคนน่า) เข้าไปนำเอาหน้ากากและสนับแขนของย้วตจาไฮบริดออกมาจากกระสวย หลังจากนั้นย้วตจาไฮบริดก็ฆ่าทีมของควินน์ทั้งสองคน เหลือรอดชีวิตเพียงควินน์คนเดียว
ควินน์ แมคแคนน่า พบการมาเยือนจากต่างดาว (The Predator 2018)
ควินน์รีบนำเอาหน้ากากกับสนับแขนหนีไป โดยทิ้งย้วดตจาไฮบริดที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ หลังจากนั้น เอเจ้นท์เทรคเกอร์ เจ้าหน้าที่ CIA จากหน่วยสตาร์เกเซอร์ พร้อมด้วยกองกำลังจู่โจม ก็มานำตัวย้วตจาไฮบริดและกระสวยกลับไปที่แลปฯลับ เช้าวันรุ่งขึ้น ควินน์รีบนำเอาหน้ากากและสนับแขนย้วตจาส่งกลับไปที่บ้านของตนที่สหรัฐฯ เพื่อจะเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ที่สหรัฐฯ ณ บ้านครอบครัวแมคแคนน่า Rory McKenna (รอรี่ แมคแคนน่า) ลูกชายอัจฉริยะของควินน์ ได้รับพัศดุของควินน์ที่ส่งมาจากแม็กซิโก จึงรีบเปิดดูโดยไม่บอกแม่ และพบว่ามันคือหน้ากากและสนับแขนของย้วตจาไฮบริด รอรี่เรียนรู้อาวุธทั้งสองสิ่งอย่างรวดเร็ว
รอรี่ เด็กที่สมองไวสุดๆ (The Predator 2018)
หลังจากควินน์ส่งพัศดุไปสหรัฐฯได้ไม่นาน ควินน์ก็โดนโปรเจคสตาร์เกเซอร์จับกลับไปสืบสวนที่สหรัฐฯ ควินน์กลายเป็นแพะเพื่อกลบเกลื่อน ถูกตั้งข้อหาว่าเครียดจัด และฆ่าเพื่อนทหารทีมตัวเองไป 2 คน ควินน์จึงถูกส่งขึ้นรถบัสเพื่อนำตัวไปขังที่คุกทหาร และได้พบกับทีมลูนี่ นักโทษทหารที่ทำผิดเรื่องต่างๆมา
ทีมลูนี่ (The Predator 2018)
ที่โปรเจคสตาร์เกเซอร์ นักวิทยาศาสตร์สาวผู็เชี่ยวชาญวิศวพันธุกรรมนามว่า Casey Bracket (แคสซี่ แบรคเก๊ต) ถูกนำตัวมาที่โปรเจคสตาร์เกเซอร์ เพื่อวิจัยย้วดจาไฮบริด โดยแคสซี่ได้รับรายงานจากนักวิทยาศาสตร์ประจำโปรเจคสตาร์เกเซอร์นามว่า Sean Keyes (ฌอน คีเยส) ที่พบว่าย้วตจาตัวนี้มี DNA ของมนุษย์
ฌอน คีเยส ลูกชายของ ปีเตอร์ คีเยส ผู้ไล่ล่าย้วตจาในปี 1997 (The Predator 2018)
เอเจ้นท์เทรคเกอร์นั้นเรียกย้วตจาว่า เพรดเดเทอร์ (Predator) แคสซี่อ่านบันทึกการพบเพรดเดเทอร์ไฮบริด และพบว่าควินน์คือคนแรกที่เห็นกระสวยตก แคสซี่จึงต้องการคุยกับควินน์ทันที เอเจ้นท์เทรคเกอร์จึงต้องโทรสั่งให้รสบัสขนนักโทษทหารเลี้ยวมาที่โปรเจคสตาร์เกเซอร์แทนการไปเรือนจำทหาร
ทันใดนั้น กองทัพอากาศสหรัฐฯก็จับสัญญาณของยานเพรดเดเทอร์อีกลำได้ ซึ่งมันคือเพรดเดเทอร์อัพเกรด และมันมุ่งตรงไปที่โปรเจคสตาร์เกเซอร์ กองทัพอากาศสหรัฐฯจึงส่งเครื่องบินรบบินตามอย่างโดยด่วน จังหวะเดียวกับที่เพรดเดเทอร์ไฮบริดตื่นจากการสลบ ฟาดงวงฟาดงาฆ่าคนในแลปฯมากมาย แคสซี่ต้องหนีออกมาให้เร็วที่สุด
แคสซี่ แบรคเก๊ต นักวิทย์ฯสาว (The Predator 2018)
เพรดเดเทอร์ไฮบริดนำหน้ากากเพรดเดเทอร์ตัวอื่นที่อยู่ในแลปฯมาใส่ จึงรู้ว่าหน้ากากของตนอยู่ที่บ้านครอบครัวแมคแคนน่า เพรดเดเทอร์ไฮบริดจึงรีบรุดมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อเอาของคืน
แคสซี่ตามเพรดเดเทอร์ไฮบริดออกมาหวังยิงปืนยาสลบใส่ และพบกับทีมลูนี่ของควินน์พอดี เจ้าหน้าที่ในโปรเจคจะฆ่าแคสซี่ปิดปาก แต่ควินน์มาช่วยหนีทัน หลังจากนั้นทีมลูนี่และแคสซี่ก็มุ่งหน้าไปบ้านแมคแคนน่า
ที่บ้านครอบครัวแมคแคนน่า ควินน์มาก็ไม่พบลูกชาย เพราะรอรี่ใส่หน้ากากเพรดเดเทอร์ไฮบริดออกไปข้างนอกในเทศกาลฮัลโลวีน ในระหว่างรอรี่กำลังทริคออร์ทรีทอยู่หน้าบ้านหลังนึง รอรี่ก็ถูกปากระป๋องเบียร์ใส่หัว หน้ากากเพรดเดเทอร์จึงยิงผู้โจมตีโดยอัตโนมัติ ระเบิดตู้มต้ามทำให้ควินน์รู้พิกัดลูกชาย
รอรี่กับหน้ากากเพรดเดเทอร์ (The Predator 2018)
เพรดเดเทอร์อัพเกรดตามมาเช่นกัน มันปล่อยหมาเพรดเดเทอร์สองตัวมาโจมตีรอรี่ ซึ่งทีมลูนี่และควินน์มาช่วยรอรี่ทัน แต่เพรดเดเทอร์ไฮบริดนั้น โดนเพรดเดเทอร์อัพเกรดฆ่าตายลงไป
ทีมของควินน์โดนเอเจนท์เทรคเกอร์ตามมาจับจนได้ เอเจ้นท์เทรคเกอร์สอบสวนแคสซี่ และบอกว่า การที่เพรดเดเทอร์อัพเกรดมีความสูงถึง 3 เมตร และเพรดเดเทอร์ไฮบริดมี DNA มนุษย์ นั่นก็เพราะเหล่าเพรดเดเทอร์น่าจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ในช่วยร้อยถึงสองร้อยปีนี้ และพวกเพรดเดเทอร์จะมาอาศัยในโลกแทน จึงเริ่มผสมสายพันธุ์จากสปีชีย์อื่นเพื่อให้พวกตนแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเพรดเดเทอร์ไฮบริดที่โดนกำจัดไป น่าจะหนีพวกของตัวเองมาที่โลก ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
เอเจ้นเทรคเกอร์ (The Predator 2018)
ในที่สุด เอเจ้นท์เทรคเกอร์ก็คิดออก ว่ารอรี่น่าจะรู้พิกัดยานของย้วตจาไฮบริดว่าตกที่ไหน เอเจ้นท์เทรคเกอร์จึงพารอรี่ไป และสั่งให้เจ้าหน้าที่คนอื่นสังหารทีมลูนี่ แต่ทีมลูนี่ก็พลิกเกมกลับมาเล่นงานพวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ก่อนจะรีบตามเอเจ้นท์เทรคเกอร์ไป เพื่อช่วยรอรี่
ในระหว่างที่ทีมลูนี่และเจ้าหน้าที่สตาร์เกเซอร์ปะทะกันที่ยานเพรดเดเทอร์ไฮบริด เพรดเดเทอร์อัพเกรดก็โผล่มา แฮคคอมของมนุษย์ สื่อสารว่าเขาต้องการตัวของ “แมคแคนน่า” เพียงคนเดียว คนอื่นในที่นี้เขาจะให้เวลาเตรียมตัวเข้าสู่เกมการล่า สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย หลังจากนั้นเพรดเดเทอร์อัพเกรดก็ระเบิดยานของเพรดเดเทอร์ไฮบริดทิ้งไป
เพรดเดเทอร์อัพเกรด (The Predator 2018)
ทุกคนในพื้นที่โดนสังหารหมด ยกเว้น รอรี่ แมคแคนน่า/ ควินน์ แมคแคนน่า/ และแคสซี่ แบคเก๊ต ซึ่งแมคแคนน่าที่เพรดเดเทอร์อัพเกรดต้องการคือรอรี่ เนื่องจากรอรี่มีสมองที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เหมาะที่จะนำไปไฮบริดกับสายพันธุ์เพรดเดเทอร์ของตนให้วิวัฒนาการสูงขึ้น แต่ควินน์ก็ไปช่วยรอรี่ สังหารเพรดเดเทอร์อัพเกรดด้วยอาวุธของมันเองลงไปจนได้
เมื่อเรื่องทุกอย่างจบ ทีมของบริษัทยูทานิ ก็เข้าพื้นที่เก็บกู้ยานเพรดเดเทอร์ทั้งสองลำ จึงพบว่ายานเพรดเดเทอร์ไฮบริดนั้นยังมีอีกกระสวยนึงที่ยังไม่เปิดและไม่ระเบิด จึงนำมันกลับมาที่แลปฯ แถมยังเชิญให้รอรี่มาทำงานให้ด้วย ควินน์ ก็ถูกเรียกมาให้ดูบางอย่าง
ควินน์ กลับมาสวมเครื่องแบบทหาร (The Predator 2018)
รอรี่แกะประโยคภาษาของเพรดเดเทอร์ที่ส่งออกมาจากกระสวยได้ความว่ามันถูกเรียกว่า Predator Killer (เพรดเดเทอร์ คิลเลอร์) ควินน์ที่ถูกเรียกตัวมาดูวินาทีที่กระสวยนี้เปิด ควินน์จึงเห็นคาตาว่า สิ่งที่คล้ายสนับแขนออกมาจากกระสวย พุ่งเข้าไปหาแขนของนักวิทย์ฯคนนึง ก่อนที่ปลอกแขนนั้นจะสวมร่างนักวิทย์ฯผู้นั้น กลายเป็นชุดเกราะเพรดเดเทอร์คิลเลอร์ และนั่นเพียงแค่การสาธิตของมันเท่านั้น เพราะไม่นานมันก็หลุดออกจากตัวนักวิทย์ผู้นั้น ควินน์จึงสนใจที่จะใส่ชุดเพรดเดเทอร์คิลเลอร์ตัวนี้เป็นอย่างมาก
เพรดเดเทอร์คิลเลอร์ (The Predator 2018)
มิสเตอร์เวย์แลนด์ได้ผลิตหุ่นยนต์แอนดรอยด์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ตัวแรกขึ้นมาได้ โดยมิสเตอร์เวย์แลนด์ตั้งชื่อหุ่นตัวนี้ว่า David ตามชื่อของรูปปั้นอันมีชื่อเสียงของ ไมเคิล แองเจโล
มิสเตอร์เวย์แลนด์และเดวิดสนทนากันเรื่องผู้สร้าง ว่ามิสเตอร์เวย์แลนด์คือผู้สร้างเดวิด แต่เดวิดก็ถามสวนกลับมิสเตอร์เวย์แลนด์ว่า “คุณสร้างผม แล้ว ใครสร้างคุณ?” นี่คือคำถามที่มิสเตอร์เวย์แลนด์ต้องการคำตอบ เดวิดก็ต้องการหาคำตอบเช่นกันว่า “ใคร” คือผู้สร้างมนุษย์..
มิสเตอร์เวย์แลนด์คุยกับเดวิดครั้งแรก (Alien 5: Covenant 2017)
ปี 2091 Dr.Elizabeth Shaw (ดร.อลิซาเบธ ชอว์) และ Dr.Charlie Holloway (ดร.ชาลี ฮอลโลเวย์) สองนักวิทยาศาสตร์คู่รัก ได้ค้นพบหลักฐานชิ้นล่าสุดของผู้สร้างในถ้ำดึกดำบรรพ์ที่สก็อตแลนด์ ซึ่งเป็นรูปสลักบนผนังตั้งแต่ 36,000ปีที่แล้ว สิ่งนี้จึงทำให้ มิสเเวย์แลน คิดจะเดินทางไปที่ดาวดวงนั้นด้วยตนเอง
ดร.ฮอลโลเวย์และดร.ชอว์ ค้นพบหลักฐานของดาว LV-223 (Alien 4: Prometheus 2012)
มิสเตอร์เวย์แลนด์ ในวัย 101 ปี ที่รวบรวมหลักฐานทางอารยธรรมโบราณมาหลายสิบปี ก็ได้ค้นพบสิ่งที่มีเหมือนๆกันในทุกอารยธรรม นั่นคือ ทุกอารยธรรมจะจารึกสิ่งที่เรียกว่า “ผู้สร้าง” และทุกหลักฐาน ชี้ไปที่ดวงดาวกลุ่มหนึ่ง (LV-223)
แต่มิสเตอร์เวย์แลนด์ก็สิ้นใจไปซะก่อน (แกล้งตาย) มิสเตอร์เวย์แลนด์จึงฝากฝังให้ลูกสาวแท้ๆของตนเองคือ Meredith Vickers (เมเรอดิธ วิคเกอร์ส) ได้จัดทีมสำรวจไปที่ดาว LV-223 โดยที่มิสเตอร์เวย์แลนด์นั้นส่ง เดวิด หุ่นดรอยด์ที่มีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะไปกับเมเรอดิธด้วย ตามความฝันที่มิสเตอร์เวย์แลนด์กับเดวิดต้องการหาคำตอบถึงผู้สร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ค้นหามาหลายสิบปี
มิสเตอร์เวย์แลนด์ในวัยชรา (Alien 4: Prometheus 2012)
ปี 2093 ลูกเรือของยานอวกาศ USCSS Prometheus ได้อยู่ในสภาวะจำศีล (Hypersleep) และเดินทางออกจากโลกมนุษย์มาได้สองปีแล้ว โดยผู้ทำหน้าที่ดูแลยานโพรมีทีอุสก็คือดรอยด์ดาวิดนั่นเอง เมื่อยานโพรมีธีอุสเข้าสู่วงโคจรของดาว LV-223 ดาวิดจึงทำการปลุกลูกเรือทุกคนพร้อมด้วยกัปตันเพื่อรับทราบภาระกิจ
Janek (ยาเนค) กัปตันยานโพรมีธีอุส นำทีมสำรวจลงสู่ดาวLV-223 ซึ่งมีสภาพบรรยากาศเป็นพิษ มนุษย์ไม่สามารถหายใจได้ และดร.ฮอลโลเวย์ก็สังเกตเห็น Engineer Temple หรือวิหารผู้สร้างทันทีที่ใกล้ถึงพื้นดาว
เมเรอดิธ และ ยาเนค (Alien 4: Prometheus 2012)
ดร.ฮอลโลเวย์และดร.ชอว์จึงสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมลงไปสำรวจวิหารผู้สร้างทันทีเช่นกัน เพราะดร.ฮอลโลเวย์นั้นไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว โดยคณะสำรวจนี้มี ดาวิด / ดร.ฮอลโลเวย์ / ดร.ชอว์ / มิลเบิร์น / ไฟฟิลด์ / และ ฟอร์ด
ดาวิดนั้นเเต็มไปด้วยฐานข้อมูลภาษาอักษรสัญลักษณ์โบราณที่อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้สร้าง ดาวิดจึงรู้ว่าภายในวิหารผู้สร้างเขียนอะไรไว้บ้าง และดาวิดก็เปิดโฮโลแกรมย้อนอดีตไปหลายพันปีที่แล้ว ทำให้ทีมสำรวจเห็นโฮโลแกรมผู้สร้างวิ่งไปที่ห้องเพาะพันธุ์สารดำ (ที่ผมได้เขียนอธิบายไว้ในบทนำข้างบน)
ดาวิด ดรอยด์ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Alien 4: Prometheus 2012)
เมื่อทุกคนตามโฮโลแกรมไปถึงที่ห้องนั้น ก็พบว่ามีศพผู้สร้างคนหนึ่งที่หัวขาดอยู่หน้าห้อง ขนาดร่างกายผู้สร้างนั้นใหญ่โตกว่ามนุษย์มาก และดูเหมือนสิ่งสุดท้ายที่ผู้สร้างคนนี้ทำคือการปิดประตูห้องเพาะพันธุ์
ดาวิดเปิดประตูห้องเพาะพันธุ์ ทุกคนจึงพบส่วนหัวของผู้สร้างอยู่ในห้อง (สงสัยประตูสับหัวขาด) และพบเห็นจิตกรรมฝาผนังภายในห้องมากมาย พร้อมกับที่พื้นห้องนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่มีลักษณะคล้าย “แจกัน” วางเรียงรายนับร้อยใบ ดร.ชอว์สังเกตว่า เพราะการเปิดประตูห้อง ทำให้อุณูมิภายในห้องเปลี่ยนไป ดร.ชอว์กับดร.ฟอร์ดจึงรีบนำหัวที่ขาดของผู้สร้างเก็บเข้าถุงสูญญากาศ เพื่อจะนำกลับไปวิจัยที่ยานโพรมีธีอุส
แจกันบนพื้นห้อง และ รูปแกะสลักใบหน้า เอนจิเนีย หรือ ผู้สร้าง (Prometheus ปี 2012)
แต่ดาวิดก็สังเกตเห็นเช่นกันว่า มี”สารดำ”กำลังไหลออกมาจาก”แจกัน” ดาวิดจึงแอบนำแจกันใบหนึ่งออกมาด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้พายุเริ่มรุนแรงขึ้น เมอราดิธจึงแจ้งทีมสำรวจว่ามีเวลา 15 นาทีในการกลับมาที่ยานโพรมีธีอุส มิเช่นนั้นเธอจะสั่งปิดยานจนกว่าพายุจะสงบ ทุกคนกลับมาที่ยานได้ทัน ยกเว้นเพียง มิลเบิร์น และ ไฟฟิลด์ ที่ยังติดอยู่ในวิหารผู้สร้าง
ดร.ชอว์กับดร.ฟอร์ดนั้นทำการวิจัยหัวของผู้สร้าง เมื่อทำการกระตุ้นทางเคมี ทุกคนจึงพบว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยึกยืออยู่ในกระโหลกผู้สร้าง ดร.ชอว์จึงรีบนำหัวผู้สร้างเข้าตู้กระจกนิรภัยทันที ทันใดนั้นหัวของผู้สร้างก็ระเบิด
ด้านทางดาวิดก็นำแจกันมาตรวจดู และพบว่ามีสารดำไหลออกมาจากแจกันหนึ่งหยด ดาวิดจึงนำสารดำหยดนั้นไปหลอกล่อให้ดร.ฮอลโลเวย์กิน เพื่อรอดูปฎิกิริยาว่าเมื่อมนุษย์ได้รับสารดำเข้าร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น?
Chemical A0-3959X.91 – 15 หรือ สารดำ (Alien 4: Prometheus 2012)
คืนนั้นดร.ฮอลโลเวย์และดร.ชอว์ก็มีเพศสัมพันธุ์กัน ทางด้านวิหารผู้สร้างนั้น สารดำไปทำปฎิกิริยากับสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนหรือพยาธิซึ่งมีความยาวเพียง1-2นิ้ว แต่หลังจากนั้นมันก็กลายเป็น Hammerpede จนร่างขยายใหญ่และยาวถึง 1 เมตรกว่าๆ
มิลเบิร์นและไฟฟิลด์ได้เข้าไปในห้องเก็บสารดำ และมิลเบิร์นก็โดน Hammerpede จู่โจมและชอนไชเข้าไปในปากของมิลเบิร์น ไฟฟิลด์พยายามช่วยโดยการตัดหัวมัน แต่เลือดของ Hammerpede ก็สาดใส่หมวกของไฟฟิลด์ ทำให้หมวกละลายทันที ก่อนที่ไฟฟิลด์จะล้มลงและใบหน้าจุ่มกับสารดำเต็มๆ ทำให้ไฟฟิลด์กลายพันธุ์
Hammerpede (Alien 4: Prometheus 2012)
เมื่อถึงวันถัดไป คณะสำรวจจึงเข้าไปค้นหามิลเบิร์นและไฟฟิลด์แต่ก็ไม่พบ และดร.ฮอลโลเวย์ก็เริ่มมีอาการประหลาดเพราะได้รับสารดำไปหนึ่งหยด ทุกคนจึงรีบกลับยานโพรมีธีอุส ซึ่งดาวิดไม่ยอมกลับ ยังคงอยู่สำรวจวิหารผู้สร้าง จนกระทั่งพบกับผู้สร้างที่ยังมีชีวิตอยู่ 1 คน ในสภาวะจำศีลมายาวนานหลายพันปี
ดร.ฮอลโลเวย์กลับมาถึงหน้ายานโพรมีธีอุส แต่เมราดิธไม่ให้เข้า ดร.ฮอลโลเวย์รู้ตัวเองดีว่าเกินเยียวยาแล้ว จึงท้าทายให้เมราดิธใช้ปืนไฟเผาเค้าซะ และดร.ชอว์ก็สลบไป
ดาวิดตรวจร่างกายดร.ชอว์และพบตัวอ่อนเจริญพันธุ์ในท้อง 3 เดือน (ตัวอ่อนเอเลี่ยน) แต่ดร.ชอว์อยู่ในภาวะจำศีลตั้ง 2 ปี และเพิ่งมีเซ็กส์กับดร.ฮอลโลเวย์เพียง 10 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่อยู่ในท้องดร.ชอว์คือสิ่งผิดปกติที่มาจากดร.ฮอลโลเวย์แน่นอน และสิ่งที่อยู่ในท้องดร.ชอว์ก็เริ่มดิ้นอย่างรุนแรง
ดร.ชอว์จึงใช้เครื่องผ่าตัดเอาตัวอ่อนในท้องออกมา และพบว่ามันมีหนวดยึกยือน่าเกลียดน่ากลัว ดร.ฮอลโลเวย์จึงสั่งทำลายตัวอ่อนทิ้ง และปิดห้องผ่าตัดเอาไว้
ตัวอ่อนในท้องดร.ชอว์ (Alien 4: Prometheus 2012)
จังหวะเดียวกันที่ไฟฟิลด์กลับมา และมีอาการกลายพันธุ์ที่ประหลาดร่างกายแข็งแรงและดุร้ายขึ้น ไฟฟิลด์จึงไล่ฆ่าลูกเรือโพรมีธีอุสไปหลายคน แต่กัปตันจาเนคก็มาฆ่าไฟฟิลด์ที่กลายพันธุ์ลงไปได้
ดร.ชอว์ได้รู้ความจริงว่า มิสเตอร์เวย์แลนด์ยังไม่ตาย และอยู่บนยานโพรมีธีอุสมาโดยตลอด ซึ่งความต้องการที่แท้จริงของมิสเตอร์เวย์แลนด์ก็คือ ยื้อชีวิตตนเองด้วยการให้ผู้สร้างช่วย ทีมสำรวจนำโดยดาวิดจึงพามิสเตอร์เวย์แลนด์เข้าไปที่วิหารผู้สร้างอีกครั้ง พร้อมกับที่กัปตันจาเนคตรวจพบว่าวิหารผู้สร้างนั้นแท้จริงคือยานอวกาศนั่นเอง
แต่เมื่อทีมสำรวจพบกับผู้สร้างแล้ว ผู้สร้างกลับหักคอดาวิดกระชากออก และฆ่าทีมสำรวจทั้งหมด เหลือเพียงคนเดียวคือดร.ชอว์ที่หนีผู้สร้างออกมาจากยานได้ และผู้สร้างก็เตรียมบินไปที่โลกเพื่อทำลายตามภาระกิจเดิม
“ผู้สร้าง” ดึงหัวเดวิด (Prometheus ปี 2012)
ดร.ชอว์ติดต่อไปหากัปตันจาเนคเพื่อให้หยุดยานอวกาศของผู้สร้างให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีโลกให้ทุกคนกลับ กัปตันจาเนคและทีมขับยานทุกคนจึงตัดสินใจ และยอมสละชีวิตขับยานโพรมีธีอุสพุ่งชนยานอวกาศผู้สร้าง ด้านเมราดิธก็รีบขับยานกู้ภัยลำเล็กออกมาได้ทัน
เมอราดิธออกมาจากยานกู้ภัย และโดนซากยานอวกาศผู้สร้างทับตาย ดร.ชอว์รีบเข้าไปดูในซากยานโพรมีธีอุส และพบว่าตัวอ่อนที่ตนเองขังไว้ในห้องผ่าตัดนั้นได้เจริญเติบโตขึ้นมาก นาทีนั้นผู้สร้างก็ตรงเข้ามาทำร้ายดร.ชอว์ ดร.ชอว์จึงเปิดประตูห้องผ่าตัด ตัวอ่อนจึงเข้าโจมตีผู้สร้าง และทำกระบวนการเฟซฮัคเกอร์กับผู้สร้าง ดร.ชอว์จึงรีบหนีออกไป
ผู้สร้างโดนตัวอ่อนขนาดยักษ์ทำกระบวนการเฟซฮัคเกอร์ (Prometheus ปี 2012)
ดร.ชอว์ไปค้นหาหัวดาวิด และพาหัวดาวิดขึ้นยานของผู้สร้างให้ดาวิดขับออกมา ก่อนที่ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะออกตามหาถิ่นกำเนิดผู้สร้างให้พบจงได้..
เมื่อตัวอ่อนเข้าไปสร้างกระบวนการในร่างกายของผู้สร้างแล้ว มันก็กำเนิดออกมาเป็นเอเลี่ยนสายพันธุ์โฮสท์ผู้สร้างโดยสมบูรณ์ (เอเลี่ยนตัวนี้ท่าทางสายโหดจัด) และมันก็อยู่บนดาว LV-223 ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา เพื่อรอเวลาที่นักเดินทางท่องอวกาศจะหลงมาที่นี่ต่อไป..
Deacon / Proto-Xenomorph (Alien 4: Prometheus 2012)
ตลอดเวลาการเดินทางในอวกาศของดร.ชอว์และเดวิด ดร.ชอว์พยายามซ่อมแซมเดวิดให้กลับมามีร่างกายเหมือนเดิมจนกระทั่งสมบูรณ์ ดร.ชอว์และเดวิดเรียนรู้ระบบทุกอย่างของยานผู้สร้างจนแตกฉาน ดร.ชอว์ถึงขนาดร้องเพลงบันทึกไว้ในยานซะด้วย ทั้งสองเริ่มค้นหาดวงดาวที่มีบันทึกไว้ในยาน ทั้งสองพบว่าดาวดวงนึงในพิกัดทั้งหมดนั้นคือดาวผู้สร้าง จึงตั้งวิถีมุ่งหน้าไปที่ดาวดวงนั้น
ดร.ชอว์กำลังต่อหัวเดวิดใหม่ (Alien 5: Covenant 2017)
หลังจากนั้น ดร.ชอว์ก็เข้าสู่การจำศีลในยาน เพราไม่รู้ว่านานเท่าใดจึงจะถึงดวงดาวที่ว่า เดวิดจึงอยู่คนเดียวภายในยาน ซึ่งเดวิดเริ่มมีความต้องการที่ผิดวิสัยหุ่นยนต์ เดวิดมองว่าสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากสารดำนั้นสวยงามแข็งแกร่ง ควรค่าแก่การดำรงชีวิตอยู่มากกว่าสายพันธุ์ใดในจักรวาล
ดร.ชอว์กำลังเข้าสู่ไฮเปอร์สลีป (Alien 5: Covenant 2017)
เมื่อยานผู้สร้างมาถึงดาวตามพิกัด เดวิดพบอารยธรรมของผู้สร้างที่ดาวนี้ เหล่าผู้สร้างแสดงความเคารพยินดีที่เห็นยาน เดวิดไม่รอช้า จัดการโปรยสารดำจากฟ้า ทำให้เผ่าพันธุ์ผู้สร้างทั้งอาณานิคมนี้ตายทั้งดวงดาว และนำเครื่องไปลงจอดบนภูเขาแทน เดวิดจัดการปลุกดร.ชอว์ โดยที่ดร.ชอว์ไม่รู้ว่าบรรดาผู้สร้างตายเพราะเดวิด และเดวิดก็ริ่มปลูกข้าวสาลีไว้ให้ดร.ชอว์กิน
ดาวอาณานิคมอันสูงล้ำอารยธรรมของผู้สร้าง (Alien 5: Covenant 2017)
เดวิดแอบนำสารดำมาทดลองกับดร.ชอว์โดยไม่ให้เธอรู้ตัว เพื่อเพาะพันธุ์เอเลี่ยนตามที่เดวิดต้องการ ผลออกมาทำให้เดวิดมีข้อมูลวิจัยสายพันธุ์เอเลี่ยนไปได้อีกมากมาย ดร.ชอว์ตายลงไป อีกทั้งเดวิดยังนำสารดำทำเป็นสปอร์แพร่พันธุ์ไปทั่วดาว ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลือเลยทั้งดาว เพราะกลายเป็นโฮสท์ให้เอเลี่ยนทั้งหมด
ดร.ชอว์ผู้น่าสงสาร ตัวทดลองคนแรกของเดวิด (Alien 5: Covenant 2017)
จนกระทั่งเดวิดเพาะพันธุ์ Overmorph (โอเวอร์มอร์ฟ) หรือ ไข่เอเลี่ยนขึ้นมาได้ แต่เดวิดไม่เหลือสิ่งมีชีวิตมาทดลองขั้นต่อไปอีกแล้ว ตายเกลี้ยงทั้งดวงดาว เดวิดจึงส่งสัญญาณการร้องเพลงของดร.ชอว์ออกไปในอวกาศ และได้แต่รอคอยหวังว่า จะมียานของสิ่งมีชีวิตได้ยินสัญญาณนั้น..
ปี 2099 ที่โลกมนุษย์ บริษัทเวย์แลนด์ และ บริษัทยูทานิ รวมบริษัทกันเป็น Weyland-Yutani Corp. (เวย์แลนด์แอนด์ยูทานิคอร์ป) ก็เริ่มเสาะหาที่ตั้งอาณานิคมใหม่ให้มนุษยชาติ เนื่องจากโลกมนุษย์เริ่มขาดแคลนทรัพยากรอย่างหนัก
เวย์แลนด์แอนด์ยูทานิคอร์ป (Alien 5: Covenant 2017)
นับตั้งแต่ข่าวคราวเรื่องยานโพรมีธีอุสสูญหาย จนกระทั่งเวย์แลนด์แอนด์ยูทานิคอร์ปพบดาวเคราะห์ Origae-6 ที่เหมาะกับการดำรงชีวิตมากที่สุด เวย์แลนด์คอร์ปจึงเตรียมส่งยาน Covenant ไปที่นั่นเพื่อสร้างอาณานิคมใหม่
ปี 2104 ยานโคเวแนนท์บรรทุกมนุษย์ไป 2,000 ชีวิต มีกัปตันยานคือ Jake Branson และรองกัปตันคือ Chris Oram ต้นเรือคือ Daniels และนักบินหลักคือ Tennessee ร่วมด้วยดรอยด์ชื่อ Walter แห่งบริษัทเวย์แลนด์แอนด์ยูทานิคอร์ปไปด้วย พร้อมกับเจ้าหน้าที่ยานอีกนับสิบชีวิต
ลูกเรือโคเวแนนท์ (Alien 5: Covenant 2017)
เนื่องจากเป็นการเดินทาง 7 ปี 4 เดือน มนุษย์ทุกคน 2,000 ชีวิต จึงต้องอยู่ในภาวะไฮเปอร์สลีป รวมถึงเจ้าหน้าที่ยานทุกคนด้วย เหลือเพียงดรอยนามว่า Walter (วอลเตอร์คือหุ่นรุ่นเดียวกับเดวิด จึงหน้าเหมือนกัน) และ Mother ซึ่งเป็น A.I. ควบคุมระบบยานคอยดูแลยานช่วงเดินทาง ผ่านมานานไม่มีปัญหา จนกระทั่งเกิดเรื่องกลางทาง..
ยานโคเวแนนท์โดนคลื่นรังสีดวงดาวกระแทกอย่างจัง ผลทำให้ยานเสียหายหนัก มาเธอร์และวอลเตอร์รีบปลุกเจ้าหน้าที่ทุกคนจากภาวะไฮเปอร์สลีป แต่อุบัติเหตุนี้ทำให้กัปตัน เจค แบรนสัน ออกมาจากไฮเปอร์สลีปไม่ได้เพราะตู้จำศีลขัดข้อง จึงโดนไฟคลอกตายไป
วอลเตอร์ หน้าตาเหมือน เดวิด (Alien 5: Covenant 2017)
คริส โอแรม จึงเลื่อนชั้นมาเป็นกัปตันแทน ต้นเรือแดเนี่ยลซึ่งเป็นภรรยาของกัปตันแบรนสัน ก็เลื่อนขั้นมาเป็นรองกัปตัน คำสั่งแรกของโอแรมในฐานะกัปตันคือ รีบซ่อมแซมยานให้กลับมาปกติ และออกจากบริเวณนี้โดยด่วนเพื่อป้องกันคลื่นรังสีอีกระลอก ตามคำแนะนำของวอลเตอร์
คาริน และ โอแรม (Alien 5: Covenant 2017)
ขณะที่ลูกเรือออกจากยานอวกาศไปช่วยซ่อมยาน ก็ได้รับสัญญาณคลื่นเสียงจากอะไรบางอย่าง เมื่อกลับเข้ามาในยานและวิเคราะห์ดู จึงรู้ว่าเป็นเพลงเก่าของโลกมนุษย์ และมีพิกัดมาในเพลงด้วย
ดร.ชอว์ขณะร้องเพลงในยาน อดีตก่อนตาย (Alien 5: Covenant 2017)
โอแรมรีบให้ตรวจสอบพิกัดที่ส่งสัญญาณมา จึงพบว่าดาวดวงนั้นอุดมสมบูรณ์ มีอ๊อกซีเจน มีน้ำ มีทุกอย่างในการดำรงชีวิตมากกว่าดาว Origae-6 จุดหมายเดิมด้วยซ้ำ โอแรมตัดสินใจลงไปสำรวจ หากโอเคก็จะตั้งอาณานิคมกันที่นี่ ดีกว่าที่ต้องเดินทางไปอีก 7 ปีเพื่อไปดาว Origae-6 แม้ว่าแดเนี่ยลจะค้านก็ตาม (ที่นี่คือดาวเคราะห์อาณานิคมของผู้สร้างซึ่งเดวิดลงมาปล่อยสารดำ)
ยานโคเวแนนท์ลอยลำเหนือดาวเคราะห์ผู้สร้าง โดยมีนักบินผู้ช่วย Ricks และ Upworth แพทย์สนาม ทั้งสองเป็นคู่รักกัน และรออยู่นอกชั้นบรรยากาศกับเทนเนสซี่ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เหลือลงไปสำรวจดาวผู้สร้างทางยานลำเลียง
เมื่อลงจอด Faris ซึ่งเป็นนักบินยานลำเลียงอยู่เฝ้ายาน (ฟาริสกับเทนเนสซี่เป็นสามีภรรยากัน) เจ้าหน้าที่ที่เหลือก็เดินเท้าเข้าไปที่สัญญาณนั้นที่ห่างไป 8 กิโลเมตร ระหว่างทางไปนั้น ทุกคนก็พบกับทุ่งข้าวสาลีที่เดวิดปลูก และไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตเลย..
ทุ่งข้าวสาลีที่เดวิดปลูก (Alien 5: Covenant 2017)
ระหว่างทางนั้น นักธรณีวิทยาประจำทีมคือ Karine (คาริน) ก็ขอแวะกลางทาง เพื่อนำตัวอย่างระบบนิเวศน์ของดาวนี้กลับไปวิจัย (คารินและกัปตันโอแรมเป็นสามีภรรยากัน) กัปตันโอแรมจึงสั่งให้ Ledward อยู่ช่วยคารินเก็บตัวอย่าง และทุกคนก็เดินทางต่อไป
แต่ขณะที่คารินเก็บตัวอย่าง เล็ดเวิร์ดดันไปเหยียบสปอร์ของสารดำที่ดรอยด์เดวิดทิ้งไว้มากมายบนดาว ผลทำให้สปอร์ลอยไปเข้าหูของเล็ดเวิร์ด เจาะเข้าไปในระบบเลือด ทำกระบวนการเปลี่ยนดีเอ็นเอ ดูดปัจจัยในร่างกาย และฟักเป็นตัวอ่อน Neomorph ภายในร่างเล็ดเวิร์ดอย่างรวดเร็ว
สปอร์ของสารดำที่เล็ดเวิร์ดไปเหยียบ (Alien 5: Covenant 2017)
เมื่อทุกคนไปถึงยานของผู้สร้าง Hallett ดันไปทำสปอร์สารดำแตกอีกคน ทำให้สปอร์ลอยเข้าจมูกฮาลเล็ต และนีโอมอร์ฟอีกตัวก็เริ่มฟักในตัวฮาลเล็ตเช่นเดียวกันโดยไม่มีใครรู้
ในยานของผู้สร้างนั้น แดเนี่ยลก็พบกับป้ายของดร.ชอว์ และโอแรมก็พบกับสัญญาณของดร.ชอว์ที่บันทึกตอนร้องเพลงไว้ ทุกคนจึงรู้แล้วว่าสัญญาณถูกส่งมาจากที่นี่ (เดวิดเป็นคนส่งไป)
ในเวลาเดียวกัน เล็ดเวิร์ดเริ่มแย่และไอเป็นเลือด คารินจึงรีบพาเล็ดเวิร์ดกลับและสื่อสารบอกให้ฟาริสเตรียมห้องกักกันเชื้อบนยานลำเลียง ตอนนี้การสื่อสารของทุกคนดีหมดแล้ว เทนเนสซี่ซึ่งรออยู่บนยานโคเวแนนท์จึงได้ยินทุกอย่างเช่นกัน
คารินแบกเล็ดเวิร์ดที่อาการหนัก (Alien 5: Covenant 2017)
เมื่อกำลังจะเข้าไปในยานลำเลียง เล็ดเวิร์ดสำลักเป็นเลือดไปท่วมตัวคาริน ฟาริสสติแตกที่เห็นเช่นนั้น จึงรีบสื่อสารให้กัปตันโอแรมนำลูกทีมกลับยานลำเลียงโดยด่วน
แต่เมื่อเล็ดเวิร์ดอยู่ในห้องกักกันเชื้อ นีโอมอร์ฟก็แหวกแผ่นหลังเล็ดเวิร์ดออกมา ทางด้านโอแรมก็รีบพาทีมกลับยานลำเลียง ซึ่งฮาลเล็ตก็เริ่มแย่เหมือนเล็ดเวิร์ดเช่นกันจึงต้องหิ้วปีกกลับ ฟาริสขังคารินไว้กับนีโอมอร์ฟกับศพเล็ดเวิร์ด และวิ่งไปหยิบปืนมา
ฟาริสไม่ช่วยคารินออกมาจากห้องกักกัน (Alien 5: Covenant 2017)
แต่เมื่อฟาริสกลับมาห้องกักเชื้อก็สายไปแล้ว นีโอมอร์ฟกัดคารินตายเละเทะไปอีกคน และฟาริสกับนีโอมอร์ฟก็ไล่ล่ากันไปทั้งยาน สุดท้ายฟาริสยิงโดนที่บรรจุเชื้อเพลิง ทำให้ยานลำเลียงระเบิดตู้มต้ามต่อหน้าต่อตาทีมกัปตันโอแรมที่กลับมาถึงพอดี แต่นีโอมอร์ฟหนีออกจากยานไปได้
ขณะที่กัปตันโอแรมเสียใจหนักที่เห็นยานลำเลียงระเบิดต่อหน้าต่อตา ซึ่งแน่ชัดว่าคารินเมียตนเองก็ตายในยานด้วย ฮาลเล็ตก็สำลักเลือดและนีโอมอร์ฟทะลุร่างออกมาอีกตัว แต่ในที่สุดทีมโคเวแนนท์ก็พยายามยิงฆ่ามันจนสำเร็จ
ยานลำเลียงระเบิด (Alien 5: Covenant 2017)
นีโอมอร์ฟอีกตัวที่รอดจากยานลำเลียงระเบิดกำลังจะพุ่งมาโจมตีแดเนี่ยล วอลเตอร์ใช้มือบังไว้ ผลทำให้มือของวอลเตอร์ขาดเพราะเลือดกรดของนีโอมอร์ฟ ทันใดนั้นก็มีชายลึกลับคลุมผ้ามายิงพลุไฟ นีโอมอร์ฟจึงวิ่งหนีหายไป
ชายลึกลับในผ้าคลุมก็คือดรอยด์เดวิดนั่นเอง เดวิดบอกให้ทุกคนรีบตามตนเองไปยังสถานที่นึงโดยด่วนก่อนจะถูกฆ่า ลูกทีมโคเวแนนท์จึงวิ่งตามเดวิดไป และที่นั่นก็คือ เมืองหลวงอาณานิคมของผู้สร้าง ที่มีศพผู้สร้างมากมายตายเกลื่อนจากสารดำที่เดวิดโปรยลงไปเมื่อหลายปีก่อน
เมืองอาณานิคมของผู้สร้างที่ถูกเดวิดทำลาย (Alien 5: Covenant 2017)
เดวิดบอกทุกคนว่า ที่นีปลอดภัย อธิบายว่าดร.ชอว์ตายก่อนยานลงมาถึงที่นี่ และสิ่งที่ฆ่าพวกลูกเรือโคเวแนนท์ คือสิ่งที่หลุดมาจากยานของผู้สร้าง ที่ตนเองนำมาจากดาว LV-223 ที่ซึ่งยานโพรมีธีอุสไปที่นั่นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ในขณะที่ทีมสื่อสารกำลังพยายามติดต่อให้เทนเนสซี่นำยานเล็กลงมาช่วย เพราะตอนนี้เกิดฝนฟ้าคะนองไปทั่วดาวทำให้สื่อสารกับยานโคเวแนนท์ไม่ได้ นีโอมอร์ฟอีกตัวก็มาจู่โจม Rosenthal ลูกเรือสาวไปอีกคน และโรเซนทาลก็คอขาดไปเลย
โรเซนทาลโดนนีโอมอร์ฟกัดคอ (Alien 5: Covenant 2017)
กัปตันโอแรมเห็นว่าโรเซนทาลหายไปนาน จึงเดินไปตาม และพบว่าเดวิดกำลังพยายามสื่อสารกับนีโอมอร์ฟ เมื่อกัปตันโอแรมเห็นศพโรเซนทาลก็สั่งให้เดวิดถอยไป ก่อนจะลั่นไกรัวๆสังหารนีโอมอร์ฟตายไปอีกตัว ทำให้เดวิดผิดหวังที่ไม่ทันได้เรียนรู้นีโอมอร์ฟ (เท่ากับว่าตอนนี้นีโอมอร์ฟตายหมดแล้วทั้ง 2 ตัว)
กัปตันโอแรมปรี้ดแตกเข้าไปอีก เมื่อเห็นหัวที่ขาดของโรเซนทาล จึงยื่นคำขาดให้เดวิดบอกความจริงทุกอย่างมา เดวิดจึงเล่าความจริงไปด้วย และหลอกล่อให้กัปตันโอแรมตามตนเองไปที่โอเวอร์มอร์ฟหรือไข่เอเลี่ยน ตัวอ่อนเอเลี่ยนจึงกระโดดเฟซฮัคเกอร์กัปตันโอแรมจนหมดสติไป
โอแรมหลงกลเดวิด (Alien 5: Covenant 2017)
กัปตันโอแรมตื่นขึ้นมาอีกที และพูดคุยกับเดวิดได้เพียงไม่นาน ตัวอ่อนเอเลี่ยนก็ออกมาจากร่างของกัปตันโอแรม กำเนิดเป็น Chestburster ก่อนจะเติบโตมาเป็น Xenomorph
ด้านทางทีมที่เหลือ ก็ติดต่อกับเทนเนสซี่บนยานโคเวอแนนท์จนได้ เทนเนสซี่จึงได้รู้ว่าฟาริสนักบินยานลำเลียงเมียตนเองตายแล้ว แต่เพื่อนๆที่เหลือต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน เทนเนสซี่จึงจะขับยานเล็กลงไปรับเพื่อนๆด้วยตนเอง ทิ้งให้ริคกับอัพเวิร์ธเฝ้ายานโคเวแนนท์บนนอกชั้นบรรยากาศดาว
แดเนี่ยล สาวนักสำรวจอวกาศจอมบู๊ (Alien 5: Covenant 2017)
วอลเตอร์พยายามจะหยุดเดวิด เพราะรู้ว่าเดวิดจะทำตัวเป็นพระเจ้าผู้สร้างแทนซะเอง เดวิดจึงจัดการทำลายวอลเตอร์ซะเลย จังหวะเดียวกับที่แดเนี่ยลพบว่าดร.ชอว์ตายเพราะเดวิดใช้ร่างทดลองให้เป็นโฮสท์ให้เอเลี่ยนมาฟักในตัว
เดวิดเข้ามาโจมตีแดเนี่ยล และหวังใช้ร่างแดเนี่ยลมาทดลองเช่นเดียวกับที่ดร.ชอว์เคยโดน แต่วอลเตอร์ก็ฟื้นขึ้นมาได้เพราะเป็นรุ่นอัพเกรด วอลเตอร์จึงเข้ามาช่วยแดเนี่ยล และสั่งให้แดเนี่ยลหนีไปทันที ก่อนที่เดวิดกับวอลเตอร์จะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถึงจุดนี้มีเพียงแดนี่ยลกับ Lope (โลเป้) ที่รอดชีวิตเพียงสองคน ลูกทีมคนอื่นๆตายเกลี้ยง แดเนี่ยลเปิดตัวส่งสัญญาณให้เทนเนสซี่ ขณะที่ทั้งสองกำลังวิ่งขึ้นยานเล็ก วอลเตอร์ก็วิ่งตามมนุษย์ทั้งสองออกมาด้วย โดยมีซีโนมอฟตามมาติดๆเช่นกัน
เมื่อทุกคนหนีขึ้นยานเล็ก ซีโนมอร์ฟก็กระโดดเกาะยานมาด้วย แดเนี่ยลจึงออกไปบู๊กับซีโนมอร์ฟ และสลัดซีโนมอร์ฟออกไปได้ ยานเล็กจึงขึ้นไปยังยานโคเวแนนท์ได้สำเร็จ
ซีโนมอร์ฟที่ฟักมาจากตัวกัปตันโอแรม (Alien 5: Covenant 2017)
บนยานโคเวแนนท์นั้น แดเนี่ยลจึงเลื่อนจากรองกัปตันมาเป็นกัปตันคนใหม่ แต่เรื่องร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อโลเป้โดนซีโนมอร์ฟฆ่า (เติบโตอยู่ในตัวโลเป้) หลังจากนั้นซีโนมอร์ฟก็ตามไปฆ่าริคกับอัพเวิร์ธสองผัวเมียในห้องอาบน้ำ
ตอนนี้จึงเหลือเพียงแดเนี่ยลกับเทนเนสซี่และวอลเตอร์ ทั้งสามช่วยกันหลอกล่อจนทำให้ซีโนมอร์ฟหลุดออกจากยานสู่ชั้นบรรยากาศไปได้ในที่สุด
ไม่กี่วันต่อมา.. เมื่อทั้งสามซ่อมแซมยานโคเวแนนท์สมบูรณ์แล้ว เทนเนสซี่ก็เข้าสู่ไฮเปอร์สลีป และตามด้วยแดเนี่ยล โดยมีวอลเตอร์คอยควบคุมระบบร่วมกับมาร์เธอร์ต่อไปเพื่อมุ่งสู่ดาว Origae-6 ตามกำหนดการณ์เดิม
แดเนี่ยล กำลังเข้าสู่ไฮเปอร์สลีป (Alien 5: Covenant 2017)
แต่เมื่อแดเนี่ยลกำลังจะหลับในไฮเปอร์สลีป แดเนี่ยลก็ถามถึงการให้วอลเตอร์ช่วยสร้างบ้านไม้ริมทะเลสาป วอลเตอร์กลับทำหน้านิ่ง แดเนี่ยลจึงรู้ทันทีว่านั่นคือเดวิด และเธอพลาดเข้าให้แล้ว ก่อนที่แดเนี่ยลจะหลับไป
เดวิดนำตัวอ่อนซีโนมอร์ฟมาเก็บที่ยาน และประสานงานกับมาร์เธอร์มุ่งหน้าไปดาว Origae-6 ตามแผนเดิม ซึ่งตอนนี้เดวิดมีโฮสท์ให้ซีโนมอร์ฟมากมายถึง 2,002 ชีวิตเลยทีเดียว
เดวิดกำลังบรรลุแผนในการเป็นพระเจ้าของเอเลี่ยน (Alien 5: Covenant 2017)
ปี 2122 ต่อมาอีก 18 ปี หลังจากเหตุการณ์เดวิดยึดยานโคเวแนนท์ ยาน USCSS Nostromo (ยานนอสโตรโม่) ยานขนส่งสินค้าของบริษัท เวย์แลนด์แอนด์ยูทานิ ที่กำลังเดินทางข้ามจักรวาลเพื่อบรรทุกสินค้าจำนวน 20ล้านตันมุ่งหน้ากลับสู่โลก
เพื่อประหยัดพลังงานและเสบียง ลูกเรือทั้ง 7 คนของนอสโตรโมจึงได้เข้าสู่สภาวะหลับจำศีล (Hypersleep) เพราะการเดินทางนี้ยาวนานหลายปีมากๆ โดยยานนอสโตรโมได้ให้ A.I. ควบคุมยานแทน A.I .ตนนี้มีชื่อว่า Mother
ลูกเรือทั้ง 7 บนยานนอสโตรโม่ (Alien 1 ปี 1979)
ขณะที่ยานนอสโตรโมกำลังมุ่งหน้ากลับโลก อยู่ๆยานก็หยุดกลางทาง และมาเธอร์ก็ปลุกลูกเรือทุกคนให้ตื่นขึ้น เพราะมาเธอร์ได้รับสัญญาณคล้ายการขอความช่วยเหลือมาจากดาว LV-426 (ใกล้ๆดาว LV-223 ที่ลูกเรือโพรมีธีอุสตายเรียบเมื่อ 29 ปีที่แล้ว)
ซึ่งตามกฎการเดินทางในอวกาศนั้น ถ้ายานลำใดได้รับสัญญาณลักษณะเช่นนี้ ต้องทำการช่วยเหลือเบื้องต้นทันทีโดยไม่มีข้อแม้ว่าจะเป็นยานขนส่งสินค้าหรือยานกู้ภัย
กัปตันดัลลัส จึงสั่งให้จัดทีมกู้ภัยลงไปสำรวจ และสั่งให้ลูกเรือระดับ3ผู้หมวดหญิง Ellen Ripley (เอลเลน ริปลี่ย์) คอยบังคับบัญชาแทน ทุกคนในทีมสำรวจรวมถึงกัปตันดัลลัสจึงเข้าไปในยานอวกาศของ “ผู้สร้าง” และพบเพียงซากศพของผู้สร้างที่มีหน้าที่ขับยานเท่านั้น โดยที่ช่องท้องของซากศพผู้สร้างเป็นรูโบ๋
ยานอีกลำของผู้สร้างบนดาว LV-426 (Alien 1 ปี 1979)
เคน ลูกเรือคนหนึ่งได้เดินสำรวจรอบๆ และพบกับไข่ของฟีโนไทป์เต็มไปหมด (แต่เคนไม่รู้ว่ามันคืออะไร?) จากการรบกวนสภาพบรรยากาศของเคน ทำให้ไข่กลับมามีชีวิต ตัวอ่อนตัวหนึ่งก็ออกมาจากไข่ และกระโดดเกาะหน้าเคน ทำกระบวนการเฟซฮัคเกอร์ทันที กัปตันดัลลัสจึงรีบพาเคนกลับยาน และพยายามจะให้นักวิทยาศาสตร์ประจำยานเอาเฟซฮัคเกอร์ออกไปจากใบหน้าเคน
เฟซฮัคเกอร์ ตัวเล็กกว่าตัวที่ออกมาจากท้องดร.ชอว์หลายขุม (Alien 1 ปี 1979)
กัปตันดัลลัสและนักวิทยาศาสตร์พยายามจะตัดมันออก แต่เมื่อเลือดของเฟซฮัคเกอร์ไหล เลือดนั้นก็กัดกร่อนผิวยานจนทะลุ ทุกคนจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ซึ่งถัดมาอีกหลายชั่วโมง เฟซฮัคเกอร์ก็หลุดไปจากใบหน้าของเคน และริปลีย์ก็พบว่าเฟซฮัคเกอร์นั้นตายไปแล้ว (มันเข้าไปอยู่ในตัวโฮสท์แล้วนั่นเอง)
กัปตันดัลลัสสั่งให้นำยานกู้ภัยกลับไปที่ยานนอสโตรโม ซึ่งคำนวนเวลาแล้วอีก 10 เดือนจึงจะเดินทางถึงโลกมนุษย์ และอยู่ๆเคนก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพียงไม่นาน เอเลี่ยนวัยเยาว์ก็ออกมาจากท้องของเคน ต่อหน้าต่อตาลูกเรือเอสโตรโมทุกคน และมันก็รีบกระโจนหนีหายไป ซึ่งมันไปแอบอยู่ที่ใดสักแห่งในยาน
และเอเลี่ยนก็เริ่มไล่ฆ่าลูกเรือนอสโตรโมทีละคน ทีละคน ตัวมันเริ่มใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ภายใน 24 ชั่วโมงทุกคนก็ตายหมด จนในที่สุดก็เหลือริปลี่ย์เพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ริปลีย์ใช้วิธีสุดท้าย คือระเบิดยานนอสโตรโมทิ้งไปซะเลย และริปลีย์ก็หนีมาขึ้นยานลี้ภัย
ริปลีย์ (Alien 1 ปี 1979)
แต่เอเลี่ยนก็ตามริปลีย์มาที่ยานลี้ภัย ริปลีย์จึงเปิดแอร์ล็อคและล่อให้เอเลี่ยนหลุดออกนอกอวกาศไป แต่มันก็ยังคลานเข้าท่อไอพ่น ริปลี่ย์จึงเปิดระบบขับเคลื่อน และไอพ่นยานลี้ภัยก็ดันเอเลี่ยนออกไปสู่จักรวาลเวิ้งว้าง ริปลีย์จึงเป็นผู้รอดตายเพียงหนึ่งเดียวของยานนอสโตรโม และริปลี่ย์ก็เข้าสู่โหมดจำศีลหรือไฮเปอร์สลีป..
ปี 2179 ผ่านมา 57 ปีที่ริปลีย์อยู่ในภาวะไฮเปอร์สลีป ทีมช่วยเหลือของบริษัทเวย์แลนด์ก็ค้นพบยานลี้ภัยและช่วยเหลือริปลีย์ เมื่อริปลีย์ปรับตัวได้ บริษัทเวย์แลนด์ก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนริปลีย์ทันที ถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในยานนอสโตรโม่
ผู้หมวดริปลีย์โดนสอบสวน (Alien 2 ปี 1986)
แต่ไม่มีใครเชื่อริปลีย์ ถึงการมีอยู่ของยานต่างดาวที่มีไข่เอเลี่ยนนับร้อยฟองบนดาว LV-426 หนำซ้ำยังไปตั้งอาณานิคมมนุษย์ที่ดาวนั้นหลายสิบปีแล้วซะด้วย
ที่ดาวLV-426 ครอบครัวของสาวน้อยรีเบคก้าซึ่งอาศัยอยู่ในอาณานิคม ก็ขับรถสำรวจไปเจอกับยานอวกาศของผู้สร้าง พ่อและแม่รีเบคก้าทิ้งให้รีเบคก้าและพี่ชายอยู่ในรถสำรวจ และทั้งคู่ก็เข้าไปในยานอวกาศนั้น เมื่อทั้งคู่เข้าไปรบกวนสภาพบรรยากาศเหมือนดังเช่นเคนลูกเรือนอสโตรโมเคยทำ ตัวอ่อนจึงกระโดดเกาะหน้าพ่อรีเบคก้าทันที ทำให้แม่รีเบคก้าต้องรีบนำสามีออกมาจากยานอวกาศผู้สร้างโดยด่วน
พ่อของรีเบคก้าโดนเฟซฮัคเกอร์ (Alien 2 ปี 1986)
โลกมนุษย์ก็ขาดการติดต่อกับอาณานิคมบนดาว LV-426 อย่างไร้สาเหตุ บริษัทเวย์แลนด์จึงจัดทีมกู้ภัยที่มีหน่วยทหารอาวุธหนักไปที่ดาว LV-426 อีกครั้ง และพยายามขอร้องให้ริปลีย์เดินทางไปด้วย ริปลีย์จึงขอคำมั่นว่า จะไปทำลายไข่เอเลี่ยนพวกนั้น ไม่ใช่เอามาศึกษา และริปลีย์ ก็ยินดีเดินทางไปที่ดาว LV-426 ทั้งๆที่ไม่อยากจะไป
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ บริษัทเวย์แลนด็ก็นำหุ่นดรอยด์ที่ชื่อ บิชอป ไปกับคณะด้วย ซึ่งคงสร้างรูปร่างหน้าตาตามแบบ ชาร์ล บิชอป เวย์แลนด์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเวย์แลนด์เมื่อ 175 ปีที่แล้วนั่นเอง (โปรดย้อนกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง AVP)
ดรอยด์บิชอป และ ชาร์ล บิชอป เวย์แลนด์ คือนักแสดงคนเดียวกัน (Alien 2 ปี 1986)
เมื่อยาน USS Sulaco มาถึงดาว LV-246 ก็ไม่พบมนุษย์ผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว และยังไม่เห็นศพใครเช่นกัน คงมีแต่ซากและร่องรอยการต่อสู้อย่างรุนแรงทั่วอาณานิคม และสิ่งที่ริปลีย์ไปพบก็ทำให้สุดช็อค เมื่อพบว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของบริษัทเวย์แลนด์คือวิจัยตัวอ่อนเอเลี่ยน ไม่ใช่คิดจะทำลายมัน
ห้องทดลองเฟซฮัคเกอร์บนดาว LV-426 (Alien 2 ปี 1986)
ทีมทหารจับสัญญาณชีพภายในอาณานิคมได้ ริปลีย์จึงตามหาจนทั่ว และพบสาวน้อยคนหนึ่งท่าทางหวาดผวาและเนื้อตัวมอมแมม ริปลีย์สอบถามจึงได้รู้ว่าเธอชื่อ รีเบคก้า (ที่พ่อโดนเฟซฮัคเกอร์นั่นละ)
รีเบคก้า สาวน้อยผู้รอดตายเพียงหนึ่งเดียวในอาณานิคม (Alien 2 ปี 1986)
และในที่สุดกองกำลังทหารก็ค้นพบมนุษย์ทุกคนที่หายไป ทุกคนถูกเอเลี่ยนที่โตเต็มวัยแล้วจับมาอยู่ในเมือก เพื่อให้ตัวอ่อนฟักตัวนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกขั้นที่เป็นการแพร่พันธุ์เอเลี่ยนซึ่งมนุษย์เพิ่งรับรู้เป็นครั้งแรก และก็เป็นเช่นเคย เมื่อกองกำลังทหารเริ่มถูกเอเลี่ยนสังหารไปทีละคน ทีละคน..
สุดท้ายจึงเหลือริปลีย์และรีเบคก้าเพียงสองคน ริปลีย์ไปพบกับรังใหญ่ในอาณานิคม ซึ่งมีควีนเอเลี่ยนพร้อมไข่มากมาย ริปลีย์จึงจัดการใช้ปืนไฟเผาทำลายซะเลย
ริปลีย์ระเบิดทั้งอาณานิคมทิ้ง พารีเบคก้าหนีออกมาได้สำเร็จ โดยดรอยด์บิชอปขับยานกู้ภัยมารับริปลีย์และรีเบคก้า แต่เมื่อทุกคนมาถึงยาน USS Sulaco แล้ว ควีนเอเลี่ยนซึ่งแอบขึ้นยานมาด้วยก็โผล่มาทำลายดรอยด์บิชอป ริปลีย์จึงใช้มุขเดิม คือล่อควีนเอเลี่ยนและเปิดแอร์ล๊อค ทำให้ควีนเอเลี่ยนลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ และทั้งสองก็เข้าสู่สภาวะไฮเปอร์สลีป
ควีนเอเลี่ยนในอาณานิคมมนุษย์บนดาว LV-426 (Alien 2 ปี 1986)
ยานของริปลีย์ตกที่ดาว Fiorina 161 อันเป็นดาวของนักโทษแรงงาน เมื่อริปลีย์ตื่นขึ้นจากสภาวะไฮเปอร์สลีป แพทย์ประจำคุกก็บอกว่า ไม่มีผู้รอดชีวิตนอกจากริปลีย์ นั่นหมายความว่ารีเบคก้าตายแล้ว ริปลีย์เสียใจอย่างมาก แต่ยังไงซะริปลีย์ก็ต้องเห็นศพรีเบคก้าด้วยตาตนเอง
เมื่อริปลีย์เห็นรีเบคก้าตายจริงๆ แต่ริปลีย์ก็ยังไม่คลายข้อกังขา ริปลีย์อยากจะผ่าศพรีเบคก้าตรวจดู ว่ามีตัวอยู่ในตัวอ่อนรีเบคก้าหรือไม่ ซึ่งผ่าแล้วก็ไม่พบตัวอ่อนแต่อย่างใด
เวลาเดียวกันนั้นเอง นักโทษสองคนได้นำซากวัวป่าเข้ามาที่ห้องฆ่าสัตว์ในคุก และนักโทษคนหนึ่งก็เห็นว่า มีซากเฟซฮัคเกอร์อยู่ข้างๆศพวัวตัวนั้น
เรื่องสยองในคุกเริ่มต้นแล้ว.. (Alien 3 ปี 1992)
เนื่องจากที่นี่เหาระบาด ริปลีย์จึงต้องโกนหัวเหมือนทุกคนในคุก และก็เริ่มมีการตายประหลาดเกิดขึ้นในคุก นักโทษโดนอะไรบางอย่างฆ่าไปทีละคน ทีละคน..
ริปลีย์ไปเอาซากของดรอยด์บิชอปมาซ่อม เพราะต้องการรู้บันทึกการบินในยานลี้ภัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และริปลีย์ก็รู้ว่าข้อมูลทุกอย่างบนยาน ถูกส่งไปที่บริษัทเวย์แลนด์ทั้งหมด
ริปลีย์โกนหัว (Alien 3 ปี 1992)
ในที่สุดริปลีย์ก็ฆ่าเอเลี่ยนได้ โดยการเทตะกั่วเหลวใส่ และเทน้ำเย็นใส่ตามไป ทำให้เอเลี่ยนระเบิดตายทันทีด้วยปฎิกิริยาทางเคมี
บริษัทเวย์แลนด์ส่งบิชอปหมายเลขสองมาเพื่อกล่อมริปลีย์ เพราะรู้ว่าริปลีย์ผูกพันธุ์กับหน้าตารูปลักษณ์แบบนี้ และบริษัทเวย์แลนด์ยังรู้ด้วยว่าในท้องริปลีย์ก็มีตัวอ่อนเอเลี่ยนอยู่เช่นกัน (ริปลีย์น่าจะมี”สารดำ”อยู่ในร่างกาย)
ริปลีย์ไม่เชื่อบริษัทเวย์แลนด์อีกต่อไปว่าจะฆ่าเอเลี่ยนจริงๆ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงไปในเตาหลอมตะกั่ว
ผู้หมวด เอลเลน ริปลีย์ จบชีวิตตนเองในปี 2179 (Alien 3 ปี 1992)
ปี 2379 ผ่านมา 200 ปีหลังจากริปลีย์ฆ่าตัวตาย เรื่องราวของเอเลี่ยนหรือซีโนมอฟนั้นเป็นที่เล่าขานทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมา ถึงความน่าเกรงขามของมัน และในที่สุดก็มีคนคิดวิธีนำเอเลี่ยนกลับมาได้อีกครั้ง นั่นคือนายพลเปเรซให้นักวิทยาศาสตร์ของตนเองกลับไปเก็บเอาตัวอย่างเซลล์เม็ดเลือดของริปลีย์มาผลิตโคลนนิ่งอย่างลับๆ แต่ก็ไม่สำเร็จซักที
จนกระทั่งถึงหมายเลข8 โคลนนิ่งริปลีย์ก็สำเร็จ ซึ่งมันมีเชื้อเอเลี่ยนอยู่ในตัวริปลีย์ด้วย ทำให้ตัวอ่อนในตัวริปลีย์หมายเลข8เติบโตภายใน และนักวิทยาศาสตร์ก็ผ่าตัดเอเลี่ยนออกมาอย่างนิ่มนวล โดยที่ริปลีย์หมายเลข8ก็ยังไม่ตาย นายพลเปเรซอยากรู้ว่าริปลีย์จะผลิตเอเลี่ยนออกมาได้อีกหรือไม่? (ริปลีย์หมายเลข8คือสิ่งทดลองทางวิศวพันธุกรรม จึงทำให้ไม่มีเลือดออก และประสาทสัมผัสสูง สู้กับเอเลี่ยนตัวๆได้สบายๆ)
เอเลี่ยนที่ออกมาจากตัวริปลีย์เติบโตขึ้นมาเป็นควีนเอเลี่ยนเลยทีเดียว นั่นหมายความว่านายพลเปเรซสามารถผลิตเอเลี่ยนได้อีกมากมายไม่มีข้อจำกัด โดยที่สภาโลกมนุษย์ไม่ล่วงรู้ถึงแผนการอันตรายนี้
ควีนเอเลี่ยนลูกของริปลีย์ในยานของนายพลเปเรซ (Alien 4 ปี 1997)
นายพลเปเรซจ้างเอลจิ้นนักขนของเถื่อนให้ขนย้ายเอเลี่ยนมากมายที่ผลิตออกมา และนำเอเลี่ยนเหล่านั้นไปส่งตามใบสั่ง ซึ่งกองกำลังขนของเถื่อนของเอลจิ้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักฆ่าที่มีพิษสงรอบตัวทุกคน แต่เด็กหน้าใหม่ในกลุ่มของเอลจิ้นนั้น ก็มีกบฎแฝงตัวเข้ามาด้วย นั่นคือหญิงสาวที่ชื่อ Call
คอลมาที่ยานวิศวพันธุกรรมของนายพลเปเรซด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือสังหารริปลีย์หมายเลข8 แต่เมื่อคอลลอบเข้าไปจนถึงที่กักตัวริปลีย์หมายเลข8แล้ว กลับพบว่านายพลเปเรซผ่าเอเลี่ยนออกจากตัวริปลีย์หมายเลข8ไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อทหารของนายพลเปเรซจับได้ว่าคอลคือพวกกบฎ จึงคิดจะฆ่าเอลจิ้นและลูกน้องทุกคน เอลจิ้นไม่มีทางเลือก จึงต้องสั่งให้ลูกน้องฝีมือดีของตนฆ่าพวกทหารก่อน และเตรียมจะชำระโทษกับคอล
ในระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์กำลังขนย้ายเอเลี่ยนจากยานของนายพลเปเรซไปยาน The Better ของเอลจิ้นนั้น พวกเอเลี่ยนลูกๆของริปลีย์นั้นมีความฉลาดและเริ่มสื่อสารกัน เมื่อมันเห็นว่าพวกมันถูกล่ามตรวนไว้ มันจึงใช้หางแทงเอเลี่ยนหนึ่งตัวเพื่อให้เลือดไปละลายโซ่ตรวนนั่นเอง และฝูงเอเลี่ยนก็หลุดออกมาได้ ซึ่งริปลี่ย์หมายเลข8นั้นใช้เซ้นท์รับรู้ได้ทันที..
ทุกคนในยานของเปเรซเริ่มโดนฆ่าไปทีละคน ทีละคน.. ซึ่งเอลจิ้นหัวหน้ายานเบตเทอร์โดนฆ่าไปก่อนคนแรก ลูกเรือเบตเทอร์จึงต้องร่วมมือกับทหารของนายพลเปเรซที่เหลือรีบหาทางกลับไปที่ยานเบตเทอร์ให้เร็วที่สุด
ระหว่างทางหนี ริปลีย์หมายเลข8ก็จับได้ว่า คอล คือหุ่นยนต์ (เหมือนดาวิดและบิชอป) ซึ่งคอลแปลกกว่าตรงที่เป็นหุ่นยนตร์ที่สร้างโดยหุ่นยนต์นั่นเอง
คอล ดรอยด์สาวผู้มีจิตใจยิ่งกว่ามนุษย์ (Alien 4 ปี 1997)
ควีนเอเลี่ยนได้วิวัฒไปอีกขั้น โดยไม่ต้องวางไข่ ไม่ต้องให้เฟซฮัคเกอร์หาโฮสท์ แต่มันคลอดออกมาเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเอเลี่ยนเลย เพราะผลผลิตจากวิศวพันธุกรรมของริปลีย์หมายเลข8นั่นเอง ซึ่งทันทีที่มันกำเนิด มันก็ฆ่าควีนเอเลี่ยนแม่ของมันทันที บัดนี้สายพันธุ์ใหม่ของเอเลี่ยนได้กำเนิดขึ้นแล้ว..
เอเลี่ยนกลายพันธุ์ (Alien 4 ปี 1997)
แต่เมื่อมันได้สัมผัสกับริปลีย์หมายเลข8 มันกลับรู้สึกว่านี่คือแม่มันที่แท้จริง ริปลี่ย์หมายเลข8จึงใช้โอกาสนี้เจาะรูแอร์ล็อค ทำให้ร่างของเอเลี่ยนประหลาดนี้ค่อยๆทะลุออกจากยานทีละนิด และตายอย่างทรมาน ท่ามกลางน้ำตาของริปลีย์หมายเลข8ที่รู้สึกเหมือนฆ่าลูกตนเอง\
ในที่สุดหลังจากผจญภัยในอวกาศมาเนิ่นนานเกือบสามร้อยปี ร้อยโท เอลเลน ริปลีย์ ก็เดินทางกลับโลกได้ในที่สุด ถึงแม้จะมีเพียงแค่จิตเท่านั้น เพราะร่างจริงได้ตายไป 200 ปีแล้ว..
ริปลีย์และคอล สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์100%ทั้งคู่ (Alien 4 ปี 1997)
จบ สวัสดีครับ _/\_
- Marvel Cinematic Universe บทที่ 9 (มิตรใหม่และศัตรูเก่า) - 02/06/2023
- Marvel Cinematic Universe บทที่ 8 (เวทย์มนตร์ และ พหุภพ) - 10/08/2022
- Black Widow 2021 - 02/10/2021
- Falcon - 23/07/2021
- Scarlet Witch - 17/07/2021
- สรุปเนื้อเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. บทที่ 6 ปิดฉากทีมโคลสัน (อวสาน) - 26/08/2020
- สรุปเนื้อเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. บทที่ 5 เส้นเวลาที่สับสน (Timeline Paradox) - 24/08/2020
- สรุปเนื้อเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. บทที่ 4 ชิลด์กับเรื่องเหนือธรรมชาติ - 21/08/2020
- สรุปเนื้อเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. บทที่ 3 เส้นทางของเดซี่ - 19/08/2020
- สรุปเนื้อเรื่อง Marvel’s Agents of S.H.I.E.L.D. บทที่ 2 กำเนิดทีมโคลสัน - 18/08/2020