Hellraiser

หมวดหมู่ FILM ผู้เขียน

ค.ศ.1796 Philip Le’marchand (ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์) นักสร้างของเล่นชาวฝรั่งเศส ได้รับการว่าจ้างจาก Duc de L’Isle (ดุค เดอร์’รีล) ขุนนางชั้นสูงของฝรั่งเศสที่หมกมุ่นศาสตร์มืด เจ้าลัทธิบูชาเทพแห่งนรกภูมิ

เดอร์รีลให้แบบแปลนการสร้าง Puzzle Box (กล่องกลปริศนา) กับฟิลลิป เพื่อสร้างขึ้นให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดภายในวันเดียว ที่สุดแล้วฟิลลิปก็สร้างกล่องกลปริศนาตามแบบสำเร็จ จึงกำเนิดเป็นกล่องกลปริศนากล่องแรกขึ้น..

ฟิลลิปกับกล่องกลปริศนากล่องแรก (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

คืนที่หนึ่ง.. ฟิลลิปจึงรีบเดินทางไปคฤหาสน์ของเดอร์รีลที่ปารีส เพื่อส่งมอบงานชิ้นเอกนี้ให้ ฟิลลิปหวังว่างานนี้จะสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับครอบครัวตน เพราะ Genevieve Le’Merchant (เจเนวีฟ เลอ’เมอฌองท์) ภรรยาฟิลลิปก็กำลังท้องแก่ ฟิลลิปหวังให้ลูกเกิดมาแล้วมีเงินทองใช้อย่างสุขสบาย

ซึ่งในขณะที่ฟิลลิปกำลังเดินทางไปหาเดอร์รีลในคืนนั้น ที่คฤหาสน์เดอร์รีลก็กำลังเกิดเรื่องโหดร้ายขึ้น เมื่อหญิงสาวสวยไร้บ้านไร้ครอบครัว ถูกล่อลวงโดย Jacques (ฌาร์ค) คนรับใช้สนิทของเดอร์รีลผู้มีหน้าตาหล่อเหลาให้มาที่นี่

สาวสวยไร้บ้าน เหยื่อผู้น่าสงสาร (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

และหญิงสาวสวยไร้บ้านผู้นั้นก็ถูกฌาร์คฆาตกรรมด้วยการรัดคอกลางโต๊ะอาหาร เนื่องจากเดอร์รีลต้องการใช้ร่างของหญิงสาวไร้บ้านเพื่อพิธีกรรมชั่วร้ายบางอย่าง ศพของหญิงสาวไร้บ้านถูกฌาร์คนำไปที่ห้องกลางคฤหาสน์ เพื่อเตรียมที่จะทำพิธีกรรม ในขณะเดียวกัน ฟิลลิปก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ของเดอร์รีลพอดี และส่งมอบกล่องกลปริศนาให้ฌาร์คกับเดอร์รีลแลกกับเงินค่าจ้างที่หน้าประตูคฤหาสน์

เดอร์รีล และ ฌาร์ค (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

มันควรจะจบแค่นี้.. แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฟิลลิปจึงไปแอบดูว่าทั้งสองกำลังทำอะไร และฟิลลิปก็เห็นภาพสยดสยอง เมื่อหญิงสาวไร้บ้านกำลังถูกทั้งสองถลกหนังและควักอวัยวะภายในออกมาล้าง และนำหนังเปลือยเปล่าไร้อวัยวะนั้นขึ้นไปแขวนไว้กับโซ่และตะขอกลางห้อง เพื่อเตรียมจะทำพิธีขั้นต่อไป..

เดอร์รีลเริ่มร่ายมนต์ดำบทสวดคาถาบางอย่าง ขณะที่กำลังสวดนั้น พื้นห้องก็เริ่มแตก ด้วยว่าเดอร์รีลกำลังซัมม่อนบางสิ่งจากอีกมิติมาที่โลกมนุษย์ (ซัมม่อน คือ การอัญเชิญ) แต่สิ่งนั้นก็เข้ามาที่มิติโลกมนุษย์ไม่ได้ ตราบใดที่กล่องกลปริศนายังไม่ทำงาน นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเดอร์รีลจึงต้องการกล่องกลปริศนาในการทำพิธีด้วยนั่นเอง (***ไม่มีการเปิดเผยว่า เดอร์รีลรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน***)

กล่องกลปริศนาเริ่มทำงานเองโดยอัตโนมัติ และก็มีบางสิ่งจากมิติอื่นเข้ามาสวมเนื้อหนังของหญิงสาวสวยไร้บ้าน สิ่งนั้นก็คือ Sadistic Demon (ปีศาจซาดิส) เจ้าหญิงมิตินรกแห่งความเจ็บปวดทรมานนามว่า Angelique (แองเจลลีค) ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ Cenobite (ซีโนไบต์) ฟิลลิปรีบหนีไปทันทีโดยยังไม่มีใครเห็น

แองเจลลีคในร่างมนุษย์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่สอง.. ฟิลลิปรีบไปปรึกษาอาจารย์นักชันสูตรศพที่สนิทกันเพื่อบอกเรื่องราวสยองขวัญนี้ แต่อาจารย์ท่านนั้นไม่เชื่อเรื่องประตูนรกที่ฟิลลิปเล่าให้ฟัง อย่างไรซะ อาจารย์ก็แนะนำว่า ฟิลลิปสร้างกล่องกลเปิดประตูนรกได้ ฟิลลิปก็ต้องสร้างเครื่องกลที่สามารถปิดประตูนี้ได้เช่นกัน

ฟิลลิปจึงกลับไปบ้าน เพื่อเริ่มต้นร่างแบบแปลนเครื่องกลปิดประตูนรกนี้อย่างหมกมุ่นทั้งวัน โดยเจเนวีฟภรรยาฟิลลิปได้แต่เป็นห่วงและวิตกที่สามีเคร่งเครียดจนน่ากลัว และฟิลลิปก็รีบออกไปจากบ้าน

แบบแปลนในรูปแบบพื้นอาคารปลูกสร้าง ที่สามารถปิดประตูนรกได้ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

สักพักหนึ่ง.. เจเนวีฟก็เข้ามาดูสามีก็ไม่พบ และเจเนวีฟก็เห็นแบบแปลนที่ฟิลลิปเขียน จึงพอเดาๆได้ว่าฟิลลิปคงจะไปหาเดอร์รีลที่คฤหาสน์ เจเนวีฟจึงรีบตามออกไปอีกคน

คืนที่สอง.. ฟิลลิปแอบเข้าไปที่คฤหาสน์ของเดอร์รีลอีกครั้ง เพื่อพยายามจะขโมยกล่องปริศนาที่เปิดประตูมิตินรกนี้ และฟิลลิปก็พบว่า ฌาร์คส์กับแองเจลลีคกำลังมีเซ็กส์กันในห้องนอน แต่ภายนอกห้องก็มีร่างของเดอร์รีลที่ถูกทรมานอย่างหนักเจียนตายนอนหมดสติอยู่ และกล่องปริศนาก็วางอยู่ข้างๆเดอร์รีลนั่นเอง

จุดจบของเดอร์รีลผู้ซัมม่อนแองเจลลีค (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ขณะที่ฟิลลิปกำลังจะหยิบกล่องกลปริศนา เดอร์รีลก็สะดุ้งเฮือกสุดท้ายมาจับข้อมือฟิลลิปไว้ และสิ้นใจตายลงไป ทันใดนั้นแองเจลลีคก็เห็นฟิลลิป พร้อมๆกับที่ฌาร์คมาตีหัวฟิลลิปล้มลงไป

หลายชั่วโมงต่อมา.. เจเนวีฟตามฟิลลิปมาถึงคฤหาสน์ของเดอร์รีล และพบกับร่างของฟิลลิปสามีที่ถูกทรมานเจียนตาย ฟิลลิปกล่าวคำขอโทษเจเนวีฟภรรยาที่สร้างเครื่องจักรที่เลวร้ายขึ้นมา ก่อนจะสั่งให้เจเนวีฟรีบหนีไปก่อนที่แองเจลลีคกับฌาร์คจะกลับมา พร้อมกับสั่งให้เจเนวีฟดูแลลูกในท้องให้ดี จากนั้นฟิลลิปก็สิ้นใจตายลงไป เจเนวีฟจูบลาสามีครั้งสุดท้าย และนำข้อมูลแบบแปลนที่ฟิลิปเขียนรีบหนีออกไปจากฝรั่งเศสโดยเร็วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..

เจเนวีฟ เลอ’เมอฌองท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

เจเนวีฟจดจำเรื่องราวการตายของฟิลลิปสามีของเธอไว้อย่างแม่นยำ และเปลี่ยนนามสกุลเป็น “เมอแชนท์” เปลี่ยนสำเนียงการออกเสียงและตัดคำว่าเลอที่สื่อไปถึงภาษาฝรั่งเศสออกไป และเจเนวีฟก็เล่าเรื่องราวนี้ให้ลูกหลานฟังบ่อยๆ..

หลายปีที่ผ่านไป.. แองเจลลีคหนึ่งในซีโนไบต์ ก็สร้างกล่องกลปริศนามาอีกหลายกล่อง และมันก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ก็ทำได้เพียงเปิดประตูนรกได้ชั่วคราวเท่ากล่องแรก (จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีกล่องไหนเปิดประตูนรกได้ถาวร) แองเจลลีคต้องการเปิดประตูนรกแบบถาวร แองเจลลีคจึงต้องการสายเลือดของฟิลลิปมาสร้างกล่องกลปริศนาใหม่ขึ้น

ค.ศ. 1987 เกือบ 200 ปีต่อมา หลังจากสร้างกล่องกลปริศนาชิ้นแรกสำเร็จ ก็กำเนิดกล่องกลปริศนาตามมาอีกหลายกล่อง จนกระทั่ง Frank Cotton (แฟรงค์ ค็อตตอน) ชายหนุ่มเพลย์บอยหัวขบถเสเพล ได้สืบค้นดั้นด้นจบพบข้อมูลของตำนานของกล่องปริศนา เพราะมีข่าวลือว่ากล่องกลนี้ซัมม่อนปีศาจซาดิสออกมาได้ และปีศาจซาดิสเหล่านั้นจะมอบความสุขให้ผู้ที่ซัมม่อนมันออกมา แฟรงค์ได้เบาะแสว่าหนึ่งในกล่องนั้นอยู่ในประเทศโมรอคโค แฟรงค์เดินทางไปที่นั่น เพื่อขอซื้อหนึ่งในกล่องกลปริศนาจาก “James Hong” (เจมส์ ฮอง) หนึ่งในดีลเลอร์ชาวจีน

ดีลเลอร์ และ แฟรงค์ ค็อตตอน (Hellraiser 1: 1987)

 

แฟรงค์นำกล่องกลปริศนากลับมาที่บ้านเก่าแก่ของตระกูลค็อตตอนในอังกฤษเพื่อทำพิธี เมื่อแฟรงค์บิดกล่องกลในห้องใต้หลังคาแบบมั่วๆ ทันใดนั้นประตูนรกก็เปิดออกมาจากกำแพงทั้งสี่ด้านและบนเพดานกับพื้นด้วย โซ่พร้อมตะขอเกี่ยวทรมานจากมิตินรกก็พุ่งออกมาตรึงร่างแฟรงค์จากทุกสารทิศ

เหล่าซีโนไบต์ปีศาจซาดิส 4 ตน ออกมาจากมิตินรก นำโดยหัวหน้ากลุ่มคือ “Pinhead” ทำการมอบความสุขที่มาจากการทรมานอย่างซาดิสให้แฟรงค์จนสาสม หลังจากนั้นโซ่และตะขอก็ฉีกร่างของแฟรงค์จนหนังเนื้อหลุดลุ่ยเป็นชิ้นๆขาดใจตายไป

Female Cenobite หนึ่งในสี่ซีโนไบต์ เก็บชิ้นส่วนร่างของแฟรงค์ที่กระจัดกระจายทั่วทั้งห้องใต้หลังคากลับไปสู่นรก พวกเหล่าซีโนไบต์เรียกตัวเองว่า “The Surgeons” หรือ ศัลยแพทย์

ฟีเมลซีโนไบต์ อดีตแม่ชีบาปหนา (Hellraiser 1: 1987)

พินเฮดหยิบกล่องกลขึ้นมา เพราะพินเฮดรู้ว่ามันคือไอเทมที่เปิดประตูนรกได้ และพินเฮดใช้มันเป็น (คาดว่ารูปแบบของกล่องกลนี้ มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนคริสตกาล และแบบแปลนการสร้างหลุดออกมาช่วงศตวรรษที่ 18 นั่นละ)

พินเฮดใช้นิ้ววนรอบใจกลางกล่องกล แกนกลางจึงดีดขึ้นมา พินเฮดบิดใหม่ให้เข้าที่เดิม ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องที่เละเทะไปด้วยเลือดก็สะอาดเอี่ยมอ่อง พร้อมๆกับที่ชิ้นส่วนร่างของแฟรงค์เกือบทั้งหมดกับเหล่าซีโนไบต์สี่ตนกลับสู่นรก

พินเฮดกับกล่องกลในห้องของบ้านตระกูลค็อตตอน (Hellraiser 1: 1987)

 

(ยังเหลือชิ้นส่วนของแฟรงค์อยู่นิดนึงใต้พื้นไม้ห้องหลังคา)

หลายวันต่อมา.. Larry Cotton (แลร์รี่ ค็อตตอน) พี่ชายของแฟรงค์ ก็พาภรรยาสาวชาวอังกฤษคือ Julia Cotton (จูเลีย ค็อตตอน) ย้ายจากอเมริกามาอยู่ที่บ้านในอังกฤษของตระกูลค็อตตอนหลังนี้ เพราะแลร์รี่ย้ายมาทำงานในอังกฤษ

จูเลีย ค็อตตอน /แลร์รี่ ค็อตตอน (Hellraiser 1: 1987)

เมื่อทั้งคู่เดินดูรอบๆบ้านของตระกูลที่ถูกทิ้งร้างมานับสิบปี จึงพบหลักฐานว่าแฟรงค์น้องชายของแลร์รี่ก็เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่นี่ไม่นานนัก แต่ตอนนี้ทั้งสองไม่รู้ว่าแฟรงค์หายไปไหน ซึ่งแฟรงค์กับแลร์รี่เกลียดขี้หน้ากันมาตั้งแต่เด็กๆ

Kirsty Cotton (เคิร์สตี้ ค็อตตอน) ลูกสาวของแลร์รี่ก็โทรมาบอกพ่อว่า เธอหาที่อยู่ในอเมริกาได้แล้ว และกำลังหางานทำ แลร์รี่อยากให้เคิร์สตี้มาอยู่ด้วย แต่เคิร์สตี้ไม่อยากมา เธออยากอยู่ตัวคนเดียวและหางานเลี้ยงชีพเองไม่อยากเกาะพ่อกินอย่างที่แลร์รี่ต้องการ แต่เคิร์สตี้ก็สัญญาว่าจะมาเยี่ยมพ่อในอีกสองสามวัน

เคิร์สตี้ ค็อตตอน (Hellraiser 1: 1987)

 

สองสามวันต่อมา.. จูเลียซึ่งเป็นแม่เลี้ยงของเคิร์สตี้นั้นไม่อยากย้ายมาที่นี่นัก แต่เมื่อรู้ว่าแฟรงค์เคยมาที่นี่บ่อยๆ จูเลียจึงหวังจะพบกับแฟรงค์ที่นี่อีกครั้ง จึงยอมอยู่บ้านนี้ เพราะทั้งสองเคยลักลอบเป็นชู้กันมานานแล้ว จูเลียหลงแฟรงค์มาก ถึงขนาดยอมทำทุกอย่างเพื่อแฟรงค์ และที่ห้องใต้หลังคา จูเลียก็กำลังนึกเคลิ้มถึงความหลังครั้งเป็นชู้กับแฟรงค์

ตัดไปที่แลร์รี่ ซึ่งกำลังยกเตียงนอนขึ้นชั้นสอง แลร์รี่ก็โดนตะปูเกี่ยวมือเลือดไหลโชก แลร์รี่รีบขึ้นไปหาจูเลียที่ห้องใต้หลังคาโดยเลือดไหลลงไปในพื้นห้อง เลือดของแลร์รี่ไหลลงไปในชิ้นส่วนของแฟรงค์ ทำให้แฟรงค์หนีจากนรกคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งด้วยเลือดพี่ชายตัวเอง

แฟรงค์หนีมาจากนรก (Hellraiser 1: 1987)

 

ในงานเลี้ยงต้อนรับคืนนั้น.. จูเลียซึ่งหมดอาลัยตายอยาก ก็ขอกลับขึ้นไปนอนก่อนขณะที่ทุกคนกำลังสนุกอยู่ จูเลียเดินขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาอีกครั้ง และพบกับร่างไร้เนื้อหนังของแฟรงค์ เริ่มแรกจูเลียตกใจมาก แต่เมื่อรู้ว่านั่นคือชายที่เธอหลงหัวปักหัวปำ และแฟรงค์อยากได้เลือดมาชุบชีวิต จูเลียจึงยอมทำทุกอย่างที่แฟรงค์ขอ และจะหาเลือดมนุษย์สดๆมาให้แฟรงค์

จูเลียเริ่มเข้าบาร์เพื่อล่อผู้ชายกลับบ้าน และพาขึ้นไปห้องใต้หลังคาเพื่อบูชายัญให้แฟรงค์สูบเลือดเนื้อคนแล้วคนเล่า.. แฟรงค์ก็เริ่มมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แฟรงค์เริ่มมีรูปร่างกลับเป็นมนุษย์ (Hellraiser 1: 1987)

 

ในวันหนึ่ง.. เคิร์สตี้บังเอิญเห็นจูเลียแม่เลี้ยงตนเองพาผู้ชายมาที่บ้าน และได้ยินเสียงชายคนนั้นร้องขอชีวิตดังมาจากห้องใต้หลังคา เคิร์สตี้รีบตามเข้าไปในบ้านทันที และพบกับแฟรงค์น้าตัวเองที่ไร้เนื้อหนังเข้าอย่างจัง

เคิร์สตี้ดิ้นรนเอาตัวรอด และรู้โดยบังเอิญว่าแฟรงค์ให้ความสำคัญกับกล่องกลนั้นมาก เคิร์สตี้หนีออกมาพร้อมกล่องกลได้อย่างหวุดหวิด เคิร์สตี้จิตหลุดเดินล่องลอยออกมาตามถนนในเมือง ก่อนจะเป็นลมสลบไป

เคิร์สตี้ได้กล่องปริศนาไว้ในครอบครอง (Hellraiser 1: 1987)

 

เคิร์สตี้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล เนื่องจากเลือดที่เปื้อนอยู่ตามเสื้อผ้าของเคิร์สตี้ โรงพยาบาลจึงกักตัวเคิร์สตี้รอตำรวจมาสอบสวนก่อนเบื้องต้น และทิ้งกล่องกลให้เคิร์สตี้ไว้ โดยยังไม่ยอมให้เคิร์สตี้ติดต่อครอบครัวหรือคนอื่น

เคิร์สตี้เผลอบิดกล่องกลแบบสุ่ม จึงเป็นการซัมม่อนซีโนไบต์ทั้งสี่ออกมา พินเฮดพยายามมอบความสุขด้วยการทรมานให้เคิร์สตี้ เพราะนั่นคือเงื่อนไข ผู้ใดบิดกล่องกล ผู้นั้นต้องลงนรกไปรับความสุขที่มาจากการทรมานฉีกร่างถลกหนัง

Butterball หนึ่งในสี่ซีโนไบต์ในภาคแรก (Hellraiser 1: 1987)

 

เคิร์สตี้พยายามต่อรองว่า เธอรู้ตัวคนที่หนีนรกของซีโนไบต์มาได้เพื่อแลกกับที่เธอไม่ต้องลงนรก ผู้นั้นคือน้าแฟรงค์ของเธอเอง และเธอจะพาพินเฮดไปหาแฟรงค์ พินเฮดตกลง แต่ถ้าเคิร์สตี้โกหก เคิร์สตี้จะโดนทรมานหนักกว่าเดิมแน่นอน

เคิร์สตี้ถูก Chatterer I หนึ่งในซีโนไบต์จับไว้ (Hellraiser 1: 1987)

 

เมื่อเคิร์สตี้พาซีโนไบต์กลับมาบ้านตระกูลค็อตตอน เคิร์สตี้ก็มาสายไป เพราะแฟรงค์ฆ่าแลร์รี่ลอกเนื้อหนังของแลร์รี่มาสวมเป็นร่างตัวเองแล้ว จากความโกลาหล แฟรงค์ก็ฆ่าจูเลียสูบเลือดตายไปอีกคน ก่อนจะนำร่างจูเลียไปตรึงไว้บนที่นอน และแฟรงค์ก็ไล่ล่าเคิร์สตี้ไปทั่วทั้งบ้าน

ขณะที่เคิร์สตี้หลอกล่อแฟรงค์กลับไปที่ห้องใต้หลังคา เหล่าซีโนไบต์ทั้งสี่ก็ปรากฎตัวออกมาพาตัวแฟรงค์ไปมิตินรกอีกครั้ง ซึ่งเคิร์สตี้ก็เกือบหลุดเข้าไปในนรกด้วย แต่เคิร์สตี้เริ่มใช้กล่องกลเป็นแล้ว จึงปิดประตูนรกรอดมาจากพินเฮดได้สำเร็จ พร้อมๆกับที่บ้านตระกูลค็อตตอนโดนเผาวอดวายไปกับเหตุการณ์สยองนี้

พินเฮด ผู้นำซีโนไบต์ในภาคแรก (Hellraiser 1: 1987)

 

เมื่อทุกอย่างสงบลง เคิร์สตี้ก็โยนกล่องกลปริศนาสู่กองไฟ ทันใดนั้นก็มีชายขอทานเร่ร่อนเดินมาหยิบกล่องกลกลางกองไฟ ไฟลุกไหม้ชายเร่ร่อนอย่างรวดเร็ว และเผยให้เห็นร่างจริง นั่นคือปีศาจมังกรไฟ ที่มานำกล่องกลปริศนาบินจากไป..

ดราก้อนเดมอนจากนรกนำกล่องปริศนาบินหายไป (Hellraiser 1: 1987)

 

เคิร์สตี้ ค็อตตอน ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของตระกูลค็อตตอน ถูกพามาที่โรงพยาบาลบำบัดจิต โดยอยู่ในความดูแลของ Dr. Philip Channard (ด็อกเตอร์ ฟิลลิป ชานนาร์ด) แพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลบำบัดจิตแห่งนี้

ดร.ชานนาร์ด (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

ที่โรงพยาบาลบำบัดจิต เช้าวันที่ 1 ดร.ชานนาร์ดทำการวิเคราะห์จิตของเคิร์สตี้ โดยการซักถามถึงความเป็นมาเป็นไป ถึงเหตุการณ์ที่บ้านตระกูลค็อตตอนตายทั้งหมดและบ้านไฟไหม้ พร้อมกับที่มีซากศพผู้อื่นหลายศพในบ้านนั้น ซึ่งในบรรดาศพเหล่านั้นมีศพพ่อของเธอที่ถูกถลกผิวหนังด้วย เคิร์สตี้เล่าให้ดร.ชานนาร์ดฟังทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องมิตินรกและพวกซีโนไบต์ รวมถึงการที่อาแฟรงค์ถลกหนังพ่อเธอ

เล่าๆไป เคิร์สตี้ก็คิดระแวงว่า ถ้าอาแฟรงค์ของเธอหนีมาจากนรกได้ จูเลียแม่เลี้ยงของเธอก็อาจจะหนีนรกมาได้เช่นกัน เพราะจูเลียก็ใช้กล่องปริศนาซัมม่อนซีโนไบต์มาเหมือนอาแฟรงค์ (แฟรงค์จัดแจงให้จูเลียเองในตอนนั้น)

เตียงของจูเลีย (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

เคิร์สตี้รีบบอกให้ดร.ชานนาร์ดทำลายเตียงนอนของจูเลียซึ่งเป็นที่ตายของเธอก่อนลงสู่นรก ดร.ชานนาร์ดเพียงรับฟังและไม่พูดอะไรต่อ คงเพียงแต่ทิ้งให้ผู้ช่วยของตนเองคือ Kyle MacRae (ไคล์ แม็คเรย์) ดูแลเคิร์สตี้ต่อจากตนเอง ว่าแล้วดร.ชานนาร์ดก็ออกจากห้องคนไข้ไป

เย็นวันนั้น เคิร์สตี้เดินสำรวจรอบๆโรงพยาบาล และพบกับเด็กสาวที่ชอบเล่นกล่องกลจิ๊กซอว์แสนประหลาด ผู้ซึ่งไม่ยอมพูดกับใคร เธอมาอยู่ที่นี่ได้ 6 เดือนแล้ว ไคล์อธิบายให้เคิร์สตี้ฟังว่า ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเด็กสาวคนนี้ นางพยาบาลจึงตั้งชื่อให้เธอว่า Tiffany (ทิฟฟานี่)

ทิฟฟานี่กับกล่องรูบิคจิ๊กซอว์ (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

ที่โรงพยาบาลบำบัดจิต เย็นวันที่ 2 หลังเลิกงาน ไคล์แอบได้ยินดร.ชานนาร์ดคุยโทรศัพท์สั่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน นำเตียงนอนเปื้อนเลือดของจูเลียไปที่บ้านของดร.ชานนาร์ด ไม่ต้องเอามาที่โรงพยาบาล ดร.ชานนาร์ดอ้างว่าต้องการวิเคราะห์กรณีนี้เป็นการส่วนตัว สร้างความสงสัยให้ไคล์มาก และมากพอที่ไคล์จะตัดสินใจอุกอาจแอบเข้าไปในบ้านของดร.ชานนาร์ดเลยทีเดียว

ไคล์เข้ามาดูแลอาการเคิร์สตี้ (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

ที่บ้านดร.ชานนาร์ด หัวค่ำวันที่ 2 ไคล์พบกับสิ่งแปลกๆมากมายที่ดร.ชานนาร์ดกำลังทำการค้นคว้าข้อมูล ที่สำคัญๆมีอยู่ 2 อย่าง หนึ่งก็คือ มีกล่องปริศนาโบราณ 3 กล่องวางอยู่ในโหลแก้ว (กล่องที่แองเจลลีคสร้าง) อย่างที่สองก็คือ มีบันทึกของทหารยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ชื่อ “Captain Elliot Spencer” (ผู้กอง เอลเลียต สเปนเซอร์) นายทหารหนุ่มที่หมกมุ่นกับเทวทูตนรกและกล่องปริศนา และในที่สุด ผู้กองสเปนเซอร์ก็โดนเหล่าซีโนไบต์โบราณเปลี่ยนให้กลายเป็น “พินเฮด” กำเนิดเป็นซีโนไบต์ที่ทรงพลังที่สุดและแสนเหี้ยมโหดนั่นเอง.. (ฉากนี้มีตอนเริ่มเรื่องเลยนะครับ)

ผู้กองสเปนเซอร์ตอนยังไม่กลายเป็นพินเฮด (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

ขณะที่ไคล์กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก ดร.ชานนาร์ดก็พาคนไข้โรคจิตที่เห็นภาพหลอนว่าหนอนชอนไชร่างตนเองเข้ามาในห้อง และปลดพันธนาการให้ชายโรคจิตผู้นั้น ก่อนจะพาไปนั่งบนเตียงที่จูเลียโดนทรมานจนตาย ดร.ชานนาร์ดหยิบมีดมาให้ชายโรคจิตเฉือนร่างตัวเอง เพราะชายโรคจิตเห็นหนอนมากมายไชตัวอยู่

เลือดชายโรคจิตไหลนองเต็มที่นอนของจูเลีย ทันใดนั้นร่างที่ไร้เนื้อหนังมังสาของจูเลียก็ปรากฏขึ้น และสูบเลือดของชายโรคจิตเติมพลังชีวิตให้ตนเอง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดไคล์เห็นตั้งแต่เริ่มจนจบ และไคล์ก็หนีออกไปจากบ้านได้ก่อนที่จะมีใครทันเห็น

จูเลียโผล่ออกมาจากนรกทางเตียงที่เธอตาย (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

ที่โรงพยาบาลบำบัดจิต วันที่ 3 ไคล์รีบกลับมาบอกเรื่องนี้กับเคิร์สตี้ ไคล์จึงช่วยพาเคิร์สตี้หนีออกมาจากโรงพยาบาลบำบัดทางจิต จุดหมายคือบ้านของดร.ชานนาร์ด เพราะเคิร์สตี้หวังจะช่วยพ่อของเธอจากนรก

ที่บ้านดร.ชานนาร์ด วันที่ 3 ดร.ชานนาร์ดหาเสื้อผ้าให้จูเลียใส่ นำผ้าพันแผลมาพันรอบตัวจูเลีย และปฎิบัติต่อจูเลียดั่งเช่นแขกคนสำคัญ ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มมีแรงปรารถนาต่อกัน และจูบกัน

ดร.ชานนาร์ดพันร่างให้จูเลีย (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

จูเลียบอกดร.ชานนาร์ดว่า เธอขาดเพียงผิวหนัง ดร.ชานนาร์ดจึงนำมนุษย์ทั้งเพศชายและเพศหญิงมาบูชายัญให้จูเลียมากมายหลายคน จนกระทั่งจูเลียคืนร่างมนุษย์ปกติสำเร็จ

เมื่อไคล์กับเคิร์สตี้มาถึงบ้านดร.ชานนาร์ด เคิร์สตี้เดินเข้าไปในห้องทำงานของดร.ชานนาร์ด ไคล์ก็แยกไปอีกทางที่ชั้นบนห้องใต้หลังคาและพบกับจูเลีย ไคล์จึงโดนจูเลียสูบเลือดไปอีกคนจนตาย ในขณะที่เคิร์สตี้ไปพบแฟ้มข้อมูลของผู้กองสเปนเซอร์หรือพินเฮดในห้องดร.ชานนาร์ดพอดี

ไคล์โดนจูเลียสูบเลือดจบชีวิตลงไปอีกคน (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

เคิร์สตี้ยังไม่ทันอ่านแฟ้มทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงดังจากห้องใต้หลังคาชั้นบน เคิร์สตี้รีบหยิบรูปผู้กองสเปนเซอร์ใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทรีบเดินขึ้นไปดู และพบกับศพของไคล์ รวมถึงจูเลียที่กลับมาจากนรก ซึ่งตอนนี้มีร่างเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว

จูเลียตบเคิร์สตี้จนสลบไป แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเคิร์สตี้ ดร.ชานนาร์ดก็พาทิฟฟานี่เข้ามาหาจูเลีย เพราะดร.ชานนาร์ดต้องการใช้ความสามารถด้านรูบิคของทิฟฟานี่เปิดกล่องกลปริศนา

สาวน้อยทิฟฟานี่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

จูเลียบิดกล่องกลปริศนา จนกระทั่งเปิดประตูที่นำไปสู่ดินแดนนรกซึ่งเรียกว่า Lament Configuration (เลอมองท์ คอนฟิคเกอเรชั่น) พร้อมกับที่ซีโนไบต์ทั้งสี่คือ พินเฮด/ฟีเมลซีโนไบต์/บัตเทอร์บอล/และ แชทเทอเรอร์ เดินออกมา

พินเฮดสั่งให้ซีโนไบต์ทั้งสามห้ามทำอันตรายทิฟฟานี่ เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปิดประตูเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น ก็คือดร.ชานนาร์ดกับจูเลีย ซึ่งทั้งสองก็เดินเข้าไปในเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นแล้ว ซีโนไบต์ทั้งสี่จึงกลับเข้าไปตามล่าดร.ชานนาร์ดกับจูเลียโดยไม่สนใจทิฟฟานี่

ฟีเมลซีโนไบต์/แชทเทอเรอร์/พินเฮด/บัตเทอร์บอล (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

เคิร์สตี้ตื่นขึ้นมา โดยตอนนี้ห้องใต้หลังคากลายเป็นส่วนนึงของมิตินรกเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นไปแล้ว เคิร์สตี้จึงเดินเข้าไปภายในนั้นอีกคน จุดหมายคือตามหาแลร์รี่พ่อของเธอในนี้

เคิร์สตี้เผชิญหน้ากับซีโนไบต์ทั้งสี่ และถามหาพ่อของเธอ แต่พินเฮดก็บอกเคิร์สตี้ว่า แลร์รี่พ่อของเคิร์สตี้ไปยังนรกอีกที่นึง ซึ่งไม่ใช่เลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นแห่งนี้ เคิร์สตี้ไม่เชื่อ และวิ่งหนีไปพบกับทิฟฟานี่

อีกด้านหนึ่งนั้น จูเลียก็พาดร.ชานนาร์ดเข้าไปถึงแกนกลางของเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น และพบกับเทพอสูรผู้เป็นใหญ่ในมิตินรกนี้ นั่นก็คือ เลอไวอาธาน จูเลียถวายดร.ชานนาร์ดให้เลอไวอาธานเทพอสูรโบราณ กำเนิดเป็น Channard Cenobite (ชานนาร์ดซีโนไบต์) ขึ้นมาในตอนนี้..

ชานนาร์ดซีโนไบต์ผู้ทรงพลัง (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

จูเลียไปเผชิญหน้ากับแฟรงค์โดยบังเอิญ (ทั้งสองยังไม่เคยพบกันในเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น) และจูเลียก็กำจัดแฟรงค์โดยการกระชากหัวกระโหลก แก้แค้นที่ทำให้เธอต้องมาตกนรกแห่งนี้ และร่างจูเลียก็โดนดูดกลับไปยังแกนกลางของเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น เหลือเพียงเนื้อหลังหลุดลอกกองทิ้งไว้

เคิร์สตี้นำรูปถ่ายของผู้กองสเปนเซอร์ไปให้พินเฮดดู เพื่อเตือนสติซีโนไบต์ทั้งสี่ตนว่า พวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่หลงมัวเมาในการทรมานกลายเป็นปีศาจซาดิสจนลืมทุกอย่างหมดสิ้น

ขณะที่พินเฮดกำลังชะงัก ชานนาร์ดซีโนไบต์ก็เข้ามาเผชิญหน้ากับซีโนไบต์ทั้งสี่ ชานนาร์ดซีโนไบต์เล่นงานฟีเมลซีโนไบต์/บัทเทอร์บอล/และแชทเทอเรอร์ / รวมถึงพินเฮด จนทำให้ซีโนไบต์ทั้งสี่ตนคืนร่างมนุษย์

ก่อนที่ชานนาร์ดซีโนไบต์จะสังหารทั้งสี่ที่คืนร่างเป็นมนุษย์ลงไปได้ทั้งหมด ชานนาร์ดซีโนไบต์บอกพินเฮดว่า ต่อจากนี้เค้าจะรับช่วงต่อเอง และเศษชิ้นส่วนร่างของซีโนไบต์ทั้งสี่บางส่วน ก็หลุดติดอยู่กับแท่นไม้ทรมาน

พินเฮดกลับร่างเป็นผู้กองสเปนเซอร์ ก่อนจะถูกชานนาร์ดซีโนไบต์ปาดคอ (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

แต่ที่สุดแล้ว ทิฟฟานีก็แย่งกล่องกลปริศนามาได้ เพราะเคิร์สตี้นำหนังของจูเลียมาสวมตัวเองหลอกชานนาร์ดซีโนไบต์ให้ไขว้เขว ทิฟฟานี่ใช้ความสามารถของกล่องกลสังหารชานนาร์ดซีโนไบต์ลงไปได้ ก่อนที่ทั้งสองจะหนีออกมาจากเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นได้สำเร็จ

หลายวันต่อมา.. ช่างขนย้ายบ้านเข้าไปในห้องใต้หลังคาของดร.ชานนาร์ด ช่างคนหนึ่งโดนดูดชีวิตทันที และช่างอีกคนหนึ่งก็เข้าไปตาม ทันใดนั้นแท่นไม้ทรมานที่มีเศษชิ้นส่วนซีโนไบต์ทั้งสี่ก็ผุดขึ้นมากลางเตียงของจูเลีย พวกมันหาทางกลับมาได้อีกครั้งแล้ว..

การกลับมาของซีโนไบต์ (Hellraiser 2: Hellbound 1988)

 

5 ปีต่อมา หลังจากที่ดร.ชานนาร์ดตายลงไป แท่นทรมานของซีโนไบต์ ก็มาตั้งแสดงอยู่ในร้านขายของเก่าที่ชื่อ PYRAMID GALLERY (พีรามิด แกลเลอรี่) กลางเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

คริสต์ศักราชที่ 1992 ที่นิวยอร์คซิตี้ ชายหนุ่มหล่อรวยนามว่า J.P. Monroe (เจพี มอนโร) เจ้าของไนท์คลับสุดป็อปปูล่า The Boiler Room (เดอะบอยเลอร์รูม) ก็เดินทอดน่องมาจนถึงร้านขายของเก่านี้ตามคำแนะนำแฟนเก่าของตน ซึ่งเจพีก็ถูกชะตากับแท่นทรมานทันทีตั้งแต่แรกเห็น

เจพี มอนโร (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

ชายสูงวัยลึกลับ หนึ่งในดีลเลอร์ผู้ค้ากล่องกลปริศนา.. แอบอ้างตนเองเป็นผู้ขาย ดีลเลอร์ผู้นั้นยื่นข้อเสนอให้เจพีว่า ยินดีจ่ายเท่าไหร่เขาก็จะขายให้ไม่มีข้อแม้ เจพีจึงได้แท่นทรมานไปวางพักที่ชั้นล่างไนท์คลับเพื่อเช็ดขัดถูเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นเจพีคิดจะนำไปตั้งไว้กลางห้องนอนส่วนตัวชั้นบนไนท์คลับเดอะบอยเลอร์รูมต่อไป

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา.. Joanne ‘Joey’ Summerskill (โจแอนเน่ “โจอี้” ซัมเมอร์สกิล) นักข่าวสาวสวยผู้มักนอนฝันร้าย ก็มาทำข่าวภาคสนามที่โรงพยาบาลกลางเมือง

โจอี้ ซัมเมอร์สกิล กับงานข่าวที่เธอรัก (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โดยงานภาคสนามของโจอี้ครั้งนี้ มีตากล้องรุ่นใหญ่คือ Daniel ‘Doc’ Fisher (แดเนี่ยล “ด็อค” ฟิสเชอร์) คอยช่วยเหลือโจอี้ แต่โจอี้กับด็อคก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย และด็อคก็เก็บของออกไปรอข้างนอก

ด็อค ตากล้องรุ่นใหญ่เพื่อนซี้ของโจอี้ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

กลางดึกคืนที่ 1 ขณะโจอี้กำลังยืนเซ็งๆกำลังจะตามด็อคออกไปนั้น ก็มีคนไข้บาดเจ็บสาหัสทุรนทุรายนอนแปลถูกไสเข้ามาในห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ร่างของชายคนนั้นถูกตรึงไปด้วยตะขอและโซ่แสนประหลาด โดยมีสาวสวยใจแตกนามว่า Terri มาส่งด้วยอาการหวาดวิตก

ปากเทอรี่ก็เฝ้าแต่เพ้อว่า เธอไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย โจอี้พยายามถามเทอรี่ว่าเกิดเรื่องที่ไหน เทอรี่ก็บอกว่า เกิดที่ไนท์คลับที่ชื่อ เดอะบอยเลอร์รูม แล้วเทอรี่ก็รีบหนีไป

เทอรี่ หญิงใจแตกผู้หลงทางในชีวิต (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้รีบวิ่งตามเข้าไปดูอาการชายคนนั้น และจู่ๆโซ่ทุกเส้นก็ดีดผึงกระชากไปคนละทิศละทางทั้งที่ที่ไม่มีใครดึง สร้างความทรมานให้ชายผู้นั้นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเนื้อหนังร่างกายของชายคนนั้นที่ตรึงกับโซ่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าต่อตาโจอี้

ความตายที่แสนทรมาน.. (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 2 โจอี้ไปบอกเรื่องนี้กับด็อคและเพื่อนคนอื่นๆในสำนักข่าว ก็ไม่มีใครเชื่อ โจอี้จึงตั้งใจจะสืบเรื่องประหลาดนี้ด้วยตนเอง โดยจุดเริ่มต้นคือ โจอี้ต้องไปตามหาเทอรี่ในเดอะบอยเลอร์รูมซะก่อนเป็นอันดับแรก..

ไนท์คลับเดอะบอยเลอร์รูม ในคืนที่ 2 โจอี้เข้าคลับเพื่อถามหาเบาะแสเทอรี่โดยแจกนามบัตรไปทั่ว จนไปถึงตัวเจ้าของคลับนั่นก็คือเจพี แต่เจพีไม่สนใจใยดี และขยำนามบัตรของโจอี้ทิ้งไป ด้านทางสาวสวยเทอรี่ก็เห็นทุกอย่างว่าโจอี้มาถามหาเธอ แต่โจอี้ไม่เห็นเทอรี่และออกจากคลับไป

เจพีมีสาวๆข้างกายมากมายตลอดเวลา (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

คอนโดของโจอี้กลางดึกคืนที่ 2 ขณะที่โจอี้กำลังนอนฝันร้ายเรื่องเดิมๆ นั่นก็คือเหตุการณ์ที่พ่อของเธอถูกทิ้งให้ตายอยู่ในสงครามเวียตนาม โจอี้ก็ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึกเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ เพราะเทอรี่โทรมา เทอรี่ต้องการที่ซุกหัวนอนในคืนนี้ แลกกับเบาะแสที่เธอมี โจอี้จึงอนุญาตให้เทอรี่มาค้างคืนที่คอนโดของเธอได้

เทอรี่อิจฉาที่โจอี้ฝันร้าย เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยฝันเลย เธออยากมีความฝันแบบคนอื่นๆบ้าง และเทอรี่ก็เริ่มเล่าให้โจอี้ฟังว่า เธอไม่รู้จักชายหนุ่มคนนั้นมาก่อน แต่เธอรู้ว่าชายหนุ่มที่ตายนั้นเป็นหัวขโมย และเพิ่งเข้าไปขโมยบางอย่างมาจากรูปปั้นของเจพี (รูปปั้นก็แท่นทรมานนั่นละครับ)

เทอรี่เริ่มเล่าเรื่องราวให้โจอี้ฟัง (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

ย้อนไปในกลางดึกคืนที่ 1 เทอรี่เดินออกมาจากคลับ และเห็นชายหนุ่มคนนั้นนอนดิ้นและกลิ้งอยู่กลางถนนหน้าคลับ โดยมีโซ่ตรึงร่างแล้ว มือของชายหนุ่ม ชี้ไปที่วัตถุชิ้นนึงที่ตกอยู่ข้างๆกายด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง พลางกับบอกว่าวัตถุนั่นคือสิ่งที่ทำร้ายเขา

กลับมาที่เวลาปัจจุบัน เทอรี่หยิบวัตถุนั้นเก็บมาไว้กับในกระเป๋าตนเองด้วย และหยิบออกจากกระเป๋ามาให้โจอี้ดู ซึ่งมันก็คือ Puzzle Box หรือ กล่องกลปริศนานั่นเอง

เทอรี่กับกล่องกลปริศนาที่ถูกเคลือบอยู่ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

ในเวลาเดียวกันที่ไนท์คลับเดอะบอยเลอร์รูมกลางดึกคืนที่ 2 เจพีสำรวจแท่งทรมาน และสังเกตว่ามีบางส่วนหายไปจนโบ๋เป็นหลุม เจพีเผลอเอื้อมมือไปคลำๆ

ทันใดนั้นก็มีหนูจากหลุมนั้นออกกัดมือเจพีจนเลือดทะลัก เจพีสบัดมือที่ชุ่มเลือดสาดไปที่แท่นทรมาน เลือดของเจพีก็ไหลเข้าไปในปากพินเฮดหายไปทันที และมีแสงสีฟ้าวาบออกมาที่ใบหน้าพินเฮด สร้างความประหลาดใจให้เจพีบ้าง แต่ก็ไม่มากพอที่เจพีจะเปลี่ยนใจ และเจพีก็นำแท่นทรมานขึ้นไปตั้งโชว์กลางห้องนอนแล้วในตอนนี้

พินเฮดดื่มเลือดของเจพี (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เช้ารุงขึ้นวันที่ 3 ที่คอนโดของโจอี้ เทอรี่บอกเบาะแสใหม่กับโจอี้อีกอย่าง ว่ามันอาจจะเกี่ยวกับรูปปั้นที่เทอรี่แนะนำให้เจพีที่เป็นแฟนเก่าเธอไปซื้อในร้านขายของเก่าเมื่อ 1 อาทิตย์ก่อน โจอี้จึงขอให้เทอรี่พาไปที่ร้านนั้น

บ่ายวันที่ 3 ที่ร้านพีรามิดแกลเลอรี่ เมื่อทั้งสองสาวมาถึงที่นี่ กลับพบว่าร้านนี้ปิดร้านมาได้ 1 สัปดาห์แล้วเนื่องจากเจ้าของร้านไปฮาวาย (ดีลเลอร์มาแอบอ้างขายให้เจพี ไม่ใช่เจ้าของร้านตัวจริง)

โจอี้และเทอรี่หน้าร้านขายของเก่า (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้คิดว่าคงถึงทางตัน เพราะเข้าไปในร้านไม่ได้ แต่เทอรี่ก็ไปสะเดาะประตูหลังร้านเข้าไปจนได้ ทั้งสองค้นหาเบาะแส จนกระทั่งเทอรี่พบกับบันทึกภาพร่างของกล่องกลปริศนา และภาพร่างนั้นมันมาจากห้องทำงานของดร.ชานนาร์ดในสถาบันโรคจิต โจอี้จึงรวบรวมข้อมูลของดร.ชานนาร์ดกลับไปทั้งหมด เพื่อตามร่องรอยเบาะแสเรื่องนี้ต่อไป

เบาะแสภาพร่างกล่องกลที่โยงไปถึงดร.ชานนาร์ด (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

หัวค่ำวันที่ 3 ที่คอนโดโจอี้ หลังจากที่โจอี้อ่านข้อมูลของดร.ชานาร์ดทุกอย่างแล้ว โจอี้ก็พบชื่อของคนไข้สาวที่พัวพันกับกล่องกล ก่อนที่สถาบันโรคจิตนี้จะปิดไป คนไข้สาวคนนั้นก็คือ เคิร์สตี้ ค็อตตอน เทอรี่จึงวิ่งเต้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของเคิร์สตี้โดยด่วน

เทอรี่เห็นว่าโจอี้ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว จึงเตรียมตัวขนข้าวของออกไปด้วยท่าทางเศร้าๆ แต่โจอี้ก็บอกเทอรี่ว่า คอนโดนี้มีห้องให้เทอรี่อยู่ถ้าเธออยากอยู่ เทอรี่ดีใจมากที่มีที่ซุกหัวนอนเป็นหลักเป็นแหล่งซักที

โจอี้ขอข้อมูลเคิร์สตี้ได้สำเร็จ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

กลางดึกคืนที่ 3 ที่คลับเดอะบอยเลอร์รูม เจพีก็ทำการกวาดสายตาหาหญิงสาวสวยวัยรุ่นใจง่ายไปทั่วคลับ เพื่อหาคู่นอนในคืนนี้ และเจพีก็พบกับสาวใจง่ายคนหนึ่งอยู่หน้าบาร์ เจพีเข้าไปจีบทันที เมื่อสาวสวยคนนั้นรู้ว่าเค้าคือเจพีชายหนุ่มไฮโซเจ้าของคลับ สาวสวยคนนั้นก็ยินยอมตามเจพีขึ้นไปมีเซ็กส์กันที่ห้องนอนชั้นบนคลับอย่างเต็มใจ

หลังจากมีเซ็กส์กันแล้วเรียบร้อย เจพีก็ไล่สาวใจง่ายออกไปจากห้องเหมือนหมูเหมือนหมา ทำให้เธอโมโหมากและด่าทอเจพีชุดใหญ่ ทันใดนั้นก็มีโซ่พุ่งออกมาจากแท่นทรมานไปตรึงร่างหญิงวัยรุ่นคนนั้น และถลกผิวหนังเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะดูดกลืนเธอเข้าไปในแท่นทรมาน ปรากฎเป็นหนึ่งในใบหน้าใหม่ประดับแท่นทรมานไปอีกชีวิต

หญิงวัยรุ่นใจง่าย เหยื่อของพินเฮด (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เจพีได้แต่อ้าปากค้าง และพินเฮดก็เริ่มพูดกับเจพี ว่าเจพีเป็นพวกกระหายความซาดิสทรมาน ดูจากการที่เจพีชอบสะสมของเหล่านี้เต็มทั้งคลับ แต่เจพีไม่ฟัง และหยิบปืนมายิงใส่พินเฮดที่ยังฝังร่างอยู่ในแท่นทรมานรัวๆจนหมดแม็กซ์

พินเฮดเสนอไว้ชีวิตให้เจพี แต่เจพีต้องช่วยให้ตนออกมาจากแท่นทรมานนี้ให้ได้ โดยการนำมนุษย์อีกเพียงคนเดียวมาให้พินเฮดกิน เจพีไม่มีทางเลือกจึงต้องตกลงกับข้อเสนอปีศาจนี้

เจพีจนมุมพินเฮด (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เช้าวันที่ 4 ที่สำนักข่าว โจอี้ก็ได้รับเทปวีดีโอจากด็อค มันคือเทปบันทึกการประเมินสภาพจิตของเคิร์สตี้ โจอี้รีบเปิดดูทันที และรู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ากล่องกลนั้นคือเครื่องมือเปิดประตูนรก และปีศาจจากนรกจะออกมาลากคนที่เปิดมันลงสู่นรก

ในตอนท้ายวีดีโอ ก็ปรากฏใบหน้าของผู้กองสเปนเซอร์ที่ออกมาบอกว่า “เธอพูดความจริง โจอี้..” แต่เมื่อโจอี้กลอเทปกลับ ก็ไม่มีภาพของผู้กองสเปนเซอร์เหมือนครั้งแรก

วิญญาณผู้กองสเปนเซอร์มาเตือนโจอี้ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

สายๆวันที่ 4 ที่คอนโดของโจอี้ เทอรี่ได้รับโทรศัพท์ของเจพีโทรมาง้อขอคืนดี (เจพีรู้เบอร์นี้เพราะโจอี้เคยแจกไปทั่วคลับตอนมาตามหาเทอรี่) เบื้องต้นเทอรี่ไม่ยอมไป แต่เมื่อเทอรี่รู้ว่าโจอี้จะย้ายที่ทำงานและขายคอนโด เทอรี่จึงคิดว่าโจอี้จะทิ้งเธอ เทอรี่จึงไปหาเจพีที่คลับ เมื่อโจอี้กลับมาถึงคอนโดตอนบ่ายจึงพบว่าเทอรี่จากไปแล้ว

กลางคืนที่ 4 ที่คลับเดอะบอยเลอร์รูม เจพีพยายามหลอกล่อเทอรี่ให้ไปใกล้ๆกับแท่นทรมานของพินเฮด แต่เทอรี่ก็ไม่ยอมเดินมาใกล้ๆซักที จนกระทั่งเทอรี่รู้ว่ามีปีศาจอยู่ในแท่นทรมาน เจพีจึงทั้งดึงทั้งลากเทอรี่เข้าไปใกล้ๆพินเฮด แต่เจพีก็โดนเทอรี่สวมสนับมือต่อยปลายคางจนสลบไป

เจพีฉุดกระชากลากถูเทอรี่ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

ขณะที่เทอรี่กำลังจะวิ่งหนี พินเฮดก็เรียกให้เทอรี่หยุด และพูดถึงสิ่งที่เทอรี่ปรารถนามาตลอด นั่นคือประตูสู่ความฝันที่เทอรี่โหยหา และกุญแจของประตูสู่ความฝันก็คือร่างของเจพี เทอรี่จึงดันๆตัวเจพีไปใกล้พินเฮด เจพีจึงกลายเป็นเหยื่อของพินเฮดซะเอง

และเมื่อพินเฮดบรรลุเป้าหมายสุดท้าย แท่นทรมานก็ระเบิดกระจุย บัดนี้พินเฮดหลุดออกมาจากกับดักการกักขังของชานนาร์ดซีโนไบต์ได้สำเร็จแล้ว และกวักมือเรียกเทอรี่เข้าไปหาตนเอง เพื่อให้กำเนิดใหม่กับเทอรี่ให้กลายเป็นซีโนไบต์ที่เธอใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต..

เทอรี่ยืนอยู่ต่อหน้าพินเฮด (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

กลางคืนที่ 3 ที่คอนโดของโจอี้ ฝันร้ายถึงสงครามเวียตนามและการตายของพ่อโจอี้ที่สงครามนี้ กลายเป็นหนทางประตูไปสู่ดินแดนระหว่างสวรรค์กับนรก ที่ซึ่ง ร้อยเอก เอลเลียต สเปนเซอร์ ทหารมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังคงติดอยู่ที่นี่หลายสิบปีแล้ว

และผู้กองสเปนเซอร์ ก็เริ่มอธิบายให้โจอี้ฟัง ถึงวิญญาณด้านมืดอีกส่วนของตนเองที่กลายไปเป็นพินเฮด ผู้กองสเปนเซอร์ต้องการให้โจอี้หลอกล่อพินเฮดมาที่มิติระหว่างนรกกับสวรรค์นี้ เพราะมิเช่นนั้นพินเฮดจะหาหนทางที่ไม่ต้องกลับไปนรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นได้อีก

โจอี้พบสเปนเซอร์ที่มิติตรงกลางของสรรค์และนรก (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

ผู้กองสเปนเซอร์เล่าให้โจอี้ฟังต่อไปว่า หัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมด คือบรรดากล่องกลปริศนาเหล่านั้นนั่นเอง เพราะกล่องกลไม่ได้มีอำนาจเพียงแค่ซัมม่อนพวกซีโนไบต์มาได้ แต่กล่องกลยังมีอำนาจสามารถดูดพวกซีโนไบต์กลับสู่นรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นและปิดประตูนรกได้ด้วยเช่นกัน..

กลางดึกคืนที่ 3 ที่คลับเดอะบอยเลอร์รูม ในขณะที่คลับยังไม่ปิด พินเฮดก็ออกมาเข่นฆ่ามนุษย์ทั้งหมดในคลับเดอะบอยเลอร์รูม ดีเจเปิดแผ่นในคลับ ก็โดนเปลี่ยนไปเป็น CD Head Cenobite (ซีดีเฮด ซีโนไบต์) รวมถึงบาร์เทนเดอร์ของคลับ ก็โดนเปลี่ยนเป็น Barbie Cenobite (บาร์บี้ ซีโนไบต์)

พินเฮดออกมายืนกลางคลับ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

กลางดึกคืนที่ 3 ที่คอนโดของโจอี้ ในเวลาเดียวกัน โจอี้ก็ตื่นขึ้นมาจากความฝันที่เธอไปมิติตรงกลางนรกสวรรค์ เพราะข่าวในทีวีออกข่าวเรื่องคลับเดอะบอยเลอร์รูมวุ่นวายและมีผู้เสียชีวิตมากมาย

โจอี้โทรหาด็อคให้ไปช่วยทำข่าว ด็อคจึงล่วงหน้าไปที่คลับก่อนโจอี้ และโจอี้ก็รีบแต่งตัวตามออกไปติดๆ โจอี้ไม่ลืมที่จะหยิบกล่องกลปริศนาไปด้วย แต่เรื่องแปลกก็คือ ทีวีที่โจอี้ดูข่าวเมื่อกี๊ไม่ได้เสียบปลั๊กไว้ มันคือสิ่งที่พินเฮดหลอกให้โจอี้ตามไปพบ

โจอี้กำลังดูข่าวแบบ LIVE (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เมื่อโจอี้ขับรถไปถึงหน้าคลับ จึงพบกับรถของด็อคที่จอดเปิดประตูทิ้งไว้ ตัวด็อคหายไปไหนไม่รู้ และไม่มีนักข่าวหรือตำรวจบริเวณคลับเหมือนในข่าวที่โจอี้เห็น มีเพียงความเงียบ

เมื่อโจอี้เข้าไปในคลับ จึงพบกับศพมากมาย รวมถึงศพของด็อคที่โดนพินเฮดตัดหัวไปแล้วด้วย และต่อมา ด็อคก็โดนเปลี่ยนไปเป็น Camerahead Cenobite (คาเมร่าเฮด ซีโนไบต์)

คาเมร่าเฮดซีโนไบต์ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

พินเฮดพยายามหลอกล่อโจอี้เพื่อให้มอบกล่องกลปริศนาในมือให้ แต่ก็ไม่สำเร็จ โจอี้วิ่งหนีออกมาจากคลับได้ก่อน และทั้งเมืองก็กลายเป็นนรกบนดินไปแล้วในตอนนี้ โดยโจอี้ต้องวิ่งหนีคาเมร่าเฮดซีโนไบต์

โจอี้วิ่งหนีไปตามทางในเมืองเรื่อยๆ ผู้คนที่มาขวางทางต่างโดนเหล่าซีโนไบต์ฆ่าเรียบ และโจอี้ก็วิ่งหนีมาพบกับ ซีดีเฮดซีโนไบต์ เข้าให้อีกคน

ซีดีเฮดซีโนไบต์ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

และเมื่อโจอี้ยังคงวิ่งหนีไปเรื่อยๆ โจอี้ก็พบกับซีโนไบต์อีกตัว เค้าคืออดีตบาร์เทนเดอร์ในคลับเดอะบอยเลอร์รูมนั่นเอง ผู้มีชื่อว่า บาร์บี้ซีโนไบต์

บาร์บี้ซีโนไบต์ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้วิ่งหนีไปกลางถนน และพบกับตำรวจพอดี พร้อมๆกับที่ซีโนไบต์ใหม่เอี่ยมอ่องทั้งสามเดินตามมาช้าๆ โจอี้บอกให้ตำรวจหนีไป แต่พวกตำรวจไม่เชื่อ จึงโดนซีโนไบต์ทั้งสามฆ่าตายทั้งหมดกลางถนน

ซีโนไบต์ทั้งสามเผชิญหน้ากับตำรวจ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้วิ่งหนีเข้าไปในโบสถ์ บาทหลวงก็ไม่เชื่อคำพูดของโจอี้เช่นกัน และพินเฮดก็มาลุยด้วยตนเอง โดยน้ำมนต์และไม้กางเขนนั้นทำอะไรพินเฮดไม่ได้

แต่ขณะที่บาทหลวงกำลังจะโดนพินเฮดฆ่าเพื่อเปลี่ยนไปเป็นซีโนไบต์ไปอีกคน โจอี้ก็เริ่มบิดกล่องกลปริศนา เพิ่อหลอกล่อให้พินเฮดตามเธอไป

โจอี้ท้าทายพินเฮด (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้วิ่งหนีพินเฮดเข้าไปในเขตกำลังก่อสร้างตึกสูง และเธอก็พบกับ Pistonhead Cenobite (พิสตันเฮด ซีโนไบต์) ซึ่งอดีตตอนเป็นมนุษย์ก็คือ เจพี มอนโร เจ้าของคลับเดอะบอยเลอร์รูมนั่นเอง

พิสตันเฮดซีโนไบต์ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

แค่นั้นยังไม่พอ โจอี้ต้องเผชิญหน้ากับ Dreamer Cenobite (ดรีมเมอร์ ซีโนไบต์) ซึ่งในตอนเป็นมนุษย์ เธอคือเทอรี่ สาวสวยใจแตกผู้หลงทาง และไขว่คว้าความฝัน

ดรีมเมอร์ซีโนไบต์ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

โจอี้กำลังตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าซีโนไบต์ทั้งหก และไม่มีหนทางว่าจะรอดตายไปได้เลย โจอี้ตัดสินใจหมุนกล่องกลปริศนาในมือแบบมั่วๆ

ทันใดนั้นกล่องกลก็หลุดมือโจอี้ลอยออกไปตั้งเอง และเริ่มทำงานด้วยตัวเอง ก่อนจะปล่อยแสงดึงดูดเหล่าซีโนไบต์ทั้งหกกลับไปสู่นรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นได้ทั้งหมด

โจอี้ตอนกำลังโดนซีโนไบต์ทั้งหกรุม (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เมื่อทุกอย่างดูคล้ายว่าจบลงแล้ว ตอนนั้นเองที่โจอี้หลุดเข้าไปในมิติตรงกลางของนรกและสวรรค์อีกครั้ง โดยพินเฮดแอบเข้าไปในประตูจิตใจของโจอี้ก่อนโดนดูดลงนรก และหลอกล่อโจอี้ด้วยการจำแลงเป็นพ่อของเธอ ก่อนจะชิงกล่องกลไป

พินเฮดกำลังจะลากโจอี้ลงนรก แต่พินเฮดก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้กองสเปนเซอร์ที่รออยู่ในประตูจิตใจของโจอี้อยู่แล้ว ผู้กองสเปนเซอร์สละวิญญาณตนเองเพื่อรวมร่างกับพินเฮด เพื่อทำให้พินเฮดควบคุมตนเองได้ยากขึ้น จนเปิดโอกาสให้โจอี้บิดกลเป็นแท่งอาวุธ และแทงหัวใจพินเฮด เพื่อส่งพินเฮดกลับสู่นรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นได้สำเร็จ พร้อมๆกับปิดประตูนรกได้นับตั้งแต่นั้น

พินเฮดโดนส่งกลับนรกไปอีกรอบ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

เช้ามืดวันที่ 4 ณ สถานก่อสร้างอาคารสูง โจอี้นำกล่องกลปริศนายัดลงไปในปูนเหลวที่กำลังจะขึ้นรูปเป็นเสาหลักของอาคารสูงแห่งนี้ เพื่อให้มันอยู่ในนั้นและไม่มีใครนำมันออกมาใช้ได้งานอีก ซึ่งโจอี้ไม่รู้ว่า ในอนาคตก็มีคนมางัดมันออกมาได้อยู่ดี..

โจอี้นำกล่องกลปริศนาไปซ่อน (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

หลายเดือนต่อมา.. เหมือนว่าโชคชะตาเล่นตลก เมื่ออาคารสูงระฟ้าที่โจอี้นำกล่องกลปริศนาไปซ่อนนั้น วิศวกรผู้ออกแบบอาคารนี้ก็คือ John Merchant (จอห์น เมอแชนท์) ลูกหลานทายาทของ Philip Le’marchand (ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์) ผู้สร้างกล่องกลปริศนากล่องแรกนั่นเอง (โปรดกลับไปอ่านประวัตฟิลลิปที่ Chaper 1 ) โดยที่จอห์นนั้นนำลวดลายของกล่องที่ฟิลลิปร่างไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 มาออกแบบอาคารสูงระฟ้าแห่งนี้..

ลวดลายในอาคารเหมือนกล่องปริศนาเปี๊ยบ (Hellraiser 3: Hell on Earth 1992)

 

john Merchant (จอห์น เมอแชนท์) สถาปนิกหนุ่มผู้มีภรรยาและลูกชายแสนน่ารัก จอห์นคือทายาทของชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Philip Le’marchand (ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์) นักสร้างของเล่น (Toy Maker) ในศตวรรษที่ 18 จอห์นนำแบบร่างของฟิลลิป มาออกแบบเป็นลวดลายในอาคารขนาดสูงแห่งนึงกลางเมืองนิวยอร์ค

ภาพร่างของฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

แต่จอห์นก็รู้ว่า แบบร่างนี้มีมากกว่าลวดลายความสวยงามที่จอห์นนำมาตกแต่งผนังในอาคาร เพราะทิศทางและการหักเหของแสงขาวที่กระทบทุกมุมของด้านต่างๆในแบบร่าง ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของแสงขาวที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ภายในนั้น จอห์นจึงออกแบบห้องใต้ดินของตึกให้เหมือนกับแบบร่างอันนี้เป๊ะๆ ซึ่งตั้งแต่เด็กยันโต จอห์นมักฝันถึงหญิงสาวสวยผู้นึงที่มีนามว่า แองเจลลีค

ค.ศ. 1996 ที่ปารีส ฝรั่งเศส 200 กว่าปีที่ผ่านมา ที่แองเจลลีคออกตามล่าสายเลือดของตระกูลเลอ’เมอฌองท์ และเสพสมกับฌาร์คจนมัวเมาในกามารมณ์ ลืมหมดสิ้นในความซาดิสของนรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นที่เธอจากมา

แองเจลลีค (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

จนกระทั่งแองเจลลีค พบกับข่าวคราวของสถาปนิกหนุ่มชาวอเมริกันกับงานเปิดตัวอาคารทางโบชัวร์แผ่นนึง ซึ่งสถาปนิกคนนั้นก็คือเหลนของ ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์ ที่ชื่อ จอห์น เมอแชนท์ แองเจลลีคจึงคิดจะเดินทางไปอเมริกาทันที

แต่ฌาร์คนั้นห้ามไม่ให้แองเจลลีคไป และขู่แองเจลลีคโดยลืมคิดไปว่า ตนเองกับแองเจลลีคนั้นคนละชั้นกัน ฌาร์คเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาทาสบำเรอกาม แต่แองเจลลีคเป็นเทพอสูร แองเจลลีคจึงทวงความอมตะที่หยิบยื่นให้ฌาร์คกลับคืน โดยการกรีดผิวหน้าของชาร์คอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะควักหัวใจฌาร์คออกมา เพื่อสั่งสอนฌาร์คที่ไม่เจียมตัวเอง ฌาร์คจึงตายไปอย่างง่อยๆหลังจากเป็นอมตะมาได้ 200 ปี

จุดจบของฌาร์ค (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

วันที่ 1 นิวยอร์ค อเมริกา ในงานเลี้ยงงานเปิดตัวอาคารสูงระฟ้าที่จอห์นออกแบบ ขณะที่จอห์นกำลังขึ้นกล่าวสปีซต่อหน้าแขกเหรื่อในงาน แองเจลลีคก็โผล่มาในงานพอดี

จอห์น เมอแชนท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

ทันทีที่จอห์นเห็นหน้าแองเจลลีค จอห์นก็มีความรู้สึกประหลาดบางอย่าง เพราะหญิงคนนี้จอห์นเห็นหน้าในฝันมาตั้งแต่เด็ก ในคืนนั้น หลังจากจอห์นกล่าวสปีซเสร็จ จอห์นกับภรรยา Bobbi Merchant (บ็อบบี้ เมอแชนท์) จึงรีบกลับบ้านทันที

บ็อบบี้ เมอแชนท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

แองเจลลีคตามจอห์นออกไปที่หน้าอาคาร จอห์นกับบ็อบบี้ก็ขึ้นรถลีมูซีนจากไปแล้ว แองเจลลีคยังรู้สึกด้วยว่า มีบางอย่างชั้นใต้ดินอาคารสูงระฟ้าแห่งนี้ แองเจลลีคจึงเดินกลับเข้าไป และล่อลวงชายคนนึงลงไปที่ชั้นใต้ดินทำทีว่าจะมีเซ็กส์ด้วย แองเจลลีคขอให้ชายคนนั้นหลับตา และเริ่มเดินหาบางอย่างที่ตนสัมผัสได้

กระทั่งแองเจลลีคก็มาหยุดยืนที่เสากลางตึก แองเจลลีคต่อยทะลุเข้าไปในใจกลางเสาทันที ก่อนจะคว้ากล่องกลปริศนาออกมา โดยที่ชายผู้โชคร้ายคนนั้นไม่เห็นว่าแองเจลลีคทำอะไรเพราะหลับตาอยู่ (กล่องกลนี้โจอี้นำมาหย่อนลงในปูนเหลวในตอนท้ายบทที่สาม หรือตอนท้ายเรื่อง Hellraiser 3: Hell on Earth 1992

แองเจลลีคพบกล่องกลปริศนา (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

แองเจลลีคยังล่อลวงให้ชายผู้นั้นบิดกล่องกล โดยตัวเธอเองไปหลบอยู่ไกลๆ ชายโชคร้ายบิดมั่วๆเพียงครู่เดียว กล่องกลก็หลุดมือกระเด็นออกไปและทำงานเอง

ทันใดนั้นก็มีโซ่พุ่งออกมาจากกล่องกล เกี่ยวร่างของชายโชคร้ายคนนั้น พร้อมกับที่ผนังปูนเริ่มแหวกออก ประตูมิตินรกแห่งแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นกำลังเปิด โซ่เส้นสุดท้าย พุ่งออกมาจากมิตินรกแทงคอของชายโชคร้าย และลากเข้าไปในนรก พร้อมๆกับที่พินเฮดเดินออกมาจากนรกอีกครั้งและหยิบกล่องกลปริศนาขึ้นมา

การกลับมาของพินเฮด (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

พินเฮดทักทายเจ้าหญิงแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น และแองเจลลีคก็ทักว่าพินเฮดดูเปลี่ยนไป (เทพอสูรพินเฮดน่าจะมีมาหลายคนแล้ว ก่อนที่จะเป็นผู้กองสเปนเซอร์คนล่าสุด) โดยตอนนี้พินเฮดกับแองเจลลีคยังดูท่าทีกันอยู่ ยังไม่มีใครโจมตีใคร

ทั้งสองพูดถึงห้องที่จอห์นสร้าง และถกเถียงกันว่า มันคือสิ่งที่จะเปิดประตูนรกถาวร หรือเป็นที่บูชายันต์มนุษย์ใจบาปกันแน่ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองก็เห็นพ้องไปในทางเดียวกัน เรื่องจะให้จอห์นทายาทฟิลลิปสร้างให้ห้องนี้ทำงานโดยสมบูรณ์ซักที (ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่า แท้จริงมันคือสิ่งที่ปิดประตูนรกถาวรต่างหาก)

แองเจลลีคเผชิญหน้าพินเฮดอีกครั้งในรอบ 200 ปี (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

วันที่ 2 ที่ออฟฟิศของจอห์น แองเจลลีคมาหาจอห์นถึงที่นี่ในฐานะต้องการเป็นลูกค้าว่าจ้างจอห์น และไปหยุดยืนดูภาพวาดของ ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์ นักสร้างของเล่นในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของจอห์น แองเจลลีคแสดงออกชัดเจนว่าอยากรู้วิธีทำงานของมัน

แองเจลลีคและจอห์นดูแบบร่างของฟิลลิป (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

จอห์นจึงพาแองเจลลีคไปที่ห้องทำงาน เพื่อเปิดคอมพิวเตอร์ให้ดูโปรแกรมจำลองวิธีทำงานของห้องที่ฟิลลิปออกแบบ ว่าในทางทฤษฎีมันเป็นไปได้ แต่ในทางปฎิบัตินั้นต้องใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากๆ

ขณะกำลังคุยกันนั้น แองเจลลีคก็สัมผัสร่างจอห์น จอห์นจึงรู้จักชื่อแองเจลลีคทันที เพราะสายเลือดในตัวมันบอกนั่นเอง หลังจากนั้นแองเจลลีคก็กลับไป

การทำงานของแสงขาวในสนามกลที่ฟิลลิปออกแบบเมื่อ 200 ปีที่แล้ว (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ในคืนที่ 2 ณ ตึกระฟ้า พินเฮดเริ่มหมดความอดทนกับแองเจลลีค ที่เปลี่ยนไปไม่ฝักใฝ่ในความทรมานอีกแล้ว พินเฮดกำลังคิดจะทำบางอย่างกับแองเจลลีค ในตอนนั้นเองที่พนักงานรักษาความปลอดภัยฝาแฝดเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในดินแดนมิติของพินเฮด จึงโดนพินเฮดจับทั้งคู่เปลี่ยนเป็น Twin Cenobite (ทวินซีโนไบต์)

รปภ.ฝาแฝดกำลังจะโดนเปลี่ยนเป็นทวินซีโนไบต์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

และพินเฮดก็บอกกับแองเจลลีคว่า ความเจ็บปวดที่สุดของพ่อแม่คือการเสียลูกไป พินเฮดคิดจะไปจับลูกชายจอห์น เพื่อให้จอห์นทำงานสร้างสนามกลพลังงานให้สำเร็จ

วันที่ 3 ที่บ้านของจอห์น พินเฮดมาจับตัว Jack Merchant (แจ็ค เมอแชนท์) ลูกชายของจอห์นไปต่อหน้าต่อตาบ็อบบี้เมียของจอห์น บ็อบบี้มาขอร้องพินเฮด และยินยอมทำตามทำทุกอย่าง ขอเพียงปล่อยลูกเธอไป พินเฮดจึงจับทั้งแม่ทั้งลูกไปที่ตึกระฟ้าที่จอห์นออกแบบ เพื่อใช้สองแม่ลูกเป็นเหยื่อล่อจอห์นให้ทำตามคำสั่ง

บ็อบบี้ เมอแชนท์ และ แจ็ค เมอแชนท์ ถูกพินเฮดจับมา (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ในคืนที่ 3 เมื่อจอห์นกลับบ้านก็ไม่พบลูกและเมีย และพบเบาะแสว่าทั้งคู่ถูกจับไปที่ตึกระฟ้า จอห์นจึงรีบตามไปที่ตึกระฟ้า พินเฮดบอกความหลังครั้งอดีตกับจอห์นว่า ฟิลลิป เลอ’เมอฌองท์ นักสร้างของเล่นในศตวรรษที่ 18 คือผู้สร้างกล่องกลปริศนากล่องแรกขึ้น และมันมีอำนาจเปิดประตูนรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่น ที่ซึ่งพวกเทพอสูรแห่งความซาดิสที่เรียกขานว่า ซีโนไบต์ สิงสู่อยู่ในนรกนั้น

จอห์น กำลังคิดหาทางช่วยลูกเมีย (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

พินเฮดสั่งให้จอห์นทำให้ห้องใต้ดินที่จอห์นออกแบบตามแบบร่างของฟิลลิป ให้ทำงานสมบูรณ์ซักที พินเฮดหวังใช้ห้องนี้เป็นประตูนรกที่ใหญ่ขึ้น จอห์นคิดจะพาลูกเมียหนี ก็หนีไม่พ้น จอห์นจึงจำใจต้องเร่งทำงานเต็มที่เพื่อช่วยลูกเมีย โดยมี Chatterer Beast (แชทเทอเรอร์บีสท์) คอยเฝ้าลูกเมียจอห์นไม่ให้หนี

แชทเทอเรอร์บีสท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

แต่ว่าเทคโนโลยีในยุคนั้นยังไม่สามารถทำได้ จอห์นก็รู้อยู่แก่ใจ จึงมีเพียงแสงวูบวาบหลอกให้พินเฮดและแองเจลลีคไขว้เขว พินเฮดจึงปรี้ดแตกที่จอห์นแสดงปาหี่หลอก และใช้โซ่เคียวตัดคอจอห์นตายลงไป บ็อบบี้ก็ใช้จังหวะนี้บิดกล่องกลมั่วๆ และกล่องกลก็ดึงเหล่าซีโนไบต์กลับสู่นรกไปได้อีกครั้ง..

บ็อบบี้ดึงให้เหล่าซีโนไบต์กลับนรกได้สำเร็จ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

ผ่านมาร้อยกว่าปี..

*ช่วงเวลาที่หายไปนี้ คือภาค 5,6,7,8,9 ซึ่งผมไม่ได้เอามารวมไว้ครับ*

ตั้งแต่แจ็ค เมอแชนท์ ลูกชายของจอห์นรอดตายในปี 1996 หนึ่งในลูกหลานของแจ็ค เติบโตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์แสนชาญฉลาดผู้ยิ่งใหญ่ จนถึงขั้นต้องจารึกในประวัติศาสตร์โลก เค้าก็คือ Dr. Paul Merchant (ด็อกเตอร์ พอล เมอแชนท์)

ดร.เมอแชนท์ คิดจะสานต่องานสร้างสนามพลังปิดประตูนรกแห่งเลอมองท์คอนฟิคเกอเรชั่นของตระกูลให้ลุล่วงซักที เพราะดร.เมอแชนท์ก็ล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จนถึงปี 1996 จากคำบอกเล่าของพ่อแม่นั่นเอง ดร.เมอแชนท์จึงเริ่มแอบสร้างสนามพลังงานนี้กลางสถานีอวกาศ Minos (ไมนอส) ที่ตนเองออกแบบ โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ดร. พอล เมอแชนท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ปี 2127 เมื่อดร.เมอแชนท์สร้างสนามพลังงานกลบริเวณสถานีไมนอสสำเร็จสมบูรณ์ 100% ดร.เมอแชนท์ก็ไล่ทุกคนในสถานีกลับโลกมนุษย์ ทำการยึดสถานี ดึงพลังงานทั้งหมดไปไว้ในจุดๆเดียว และเริ่มบังคับหุ่นแอนดรอยด์ให้หมุนกล่องกลเพื่อซัมม่อนพินเฮดและเหล่าซีโนไบต์มาในห้องนิรภัยแน่นหนาภายในสถานี

แต่บริษัทที่ว่าจ้างดร.เมอแชนท์ ก็รีบส่งหน่วยจู่โจมเฉพาะกิจกลุ่มนึงของบริษัทมาที่สถานีไมนอสเพื่อยึดสถานีคืน Rimmer (ริมเมอร์) คอมมานโดสาวที่เก่งกาจและเป็นที่ไว้วางใจของหัวหน้าหน่วย ก็มาถึงตัวของดร.เมอแชนท์อย่างรวดเร็ว

ริมเมอร์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ซึ่งช่วงที่ริมเมอร์มาจับตัวดร.เมอแชนท์นั้น คือช่วงที่ดร.เมอแชนท์ซัมม่อนเหล่าซีโนไบต์มาขังได้สำเร็จพอดีแต่ยังไม่ได้ทำอะไรต่อ ทำให้ดร.เมอแชนท์ยังไม่ได้กำจัดพินเฮดตามแผน หลังจากนั้นดร.เมอแชนท์ก็โดนริมเมอร์สอบสวน ว่ายึดสถานีไมนอสเพื่ออะไร?

ดร.เมอแชนท์เล่าเรื่องราวตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จนถึงปี 1996 ให้ริมเมอร์ฟังทั้งหมด และมาจบตรงสิ่งที่ดร.เมอแชนท์ซัมม่อนซีโนไบต์มาขังในสถานี

ริมเมอร์สอบสวนดร.เมอแชนท์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

ดร.เมอแชนท์พยายามบอกให้ริมเมอร์แจ้งหน่วยจู่โจมหนีเอาตัวรอด เพราะบัดนี้สถานีไมนอสอยู่ในมิตินรกไปส่วนนึงแล้ว และเขาต้องทำงานให้เสร็จโดยเร็ว มิเช่นนั้นทุกคนจะตายกันหมด

แต่ในขณะที่ดร.เมอแชนท์กำลังเล่าเรื่องราวให้ริมเมอร์ฟังนั้น หนึ่งในหน่วยคอมมานโดก็ไปเปิดประตูห้องนิรภัยเพราะโดนล่อลวง ทำให้เหล่าซีโนไบต์ออกมาเข่นฆ่าหน่วยคอมมานโดไปทีละคน ทีละคน จนตายหมด

แองเจลลีคซีโนไบต์และทวินซีโนไบต์ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

ที่สุดแล้วจึงเหลือเพียงดร.เมอแชนท์และริมเมอร์ที่รอดตายเพียงสองคน ดร.เมอแชนท์นั้นใช้โฮโลแกรมหลอกให้พินเฮดติดอยู่ในสถานีไมนอส ส่วนตนเองและริมเมอร์นั้นนั่งกระสวยอวกาศออกไปจากสถานีแล้ว และดร.เมอแชนท์ก็สั่งเปิดระบบสนามพลังงานแสงขาวที่บรรพบุรุษตนเองออกแบบ

ริมเมอร์และดร.เมอแชนท์ในกระสวยอวกาศ (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

 

แสงขาวจากดาวเทียมรอบๆสถานีไมนอสส่องแสงวูบวาบไปทั่วอวกาศบริเวณนั้น สถานีไมนอสหุบเข้าหากันกลายเป็นกล่องกลปริศนาขนาดยักษ์ และนรกแห่งเลอมองท์คอนฟิกเกอร์เรชั่นก็ปิดสนิทอย่างถาวร.. พร้อมๆกับที่พินเฮดถูกทำลายลงไป (อันนี้ไม่แน่ใจว่าตายมั๊ย แล้วประตูปิดถาวรจริงหรือ?)

สถานีไมนอสกลายเป็นกล่องกล (Hellraiser 4: Bloodline 1996)

** หมายเหตุ ** ส่วนตัวผมคิดว่า Hellraiser ควรจะจบแค่นี้ละครับ ผมมองว่าภาคที่ 5,6,7,8,9และ 10 ที่จะออกฉายในปี 2017 มันคือเรื่องราวที่อยู่ตรงกลางระหว่างปี 1996 ถึงปี 2127 เลยลังเลว่าจะเขียนต่อดีมั๊ย.. เอาเป็นจบแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ _/\_

ผู้เขียน หลวงจีนหอไตร

Hello! Every one. จุดเริ่มต้นงานเขียนของผมก็คือ ผมเป็นนักอ่านก่อนครับ และที่ผ่านมาผมก็หาอ่านงานเขียนแนวสรุปภาพยนตร์ยากเย็นเหลือเกิน ผมจึงเริ่มเขียนบทความเองและสร้างเว็บไซต์เองซะเลย

ดูโพสท์ทั้งหมด

Tags: