ประวัติ Howard Stark

หมวดหมู่ MARVEL ผู้เขียน

Howard Stark (ฮาเวิร์ด สตาร์ค) เกิดวันที่ 15 สิงหาคม 1917 ที่ย่าน Richford (ริชฟอร์ด) รัฐ Newyork (นิวยอร์ค) ฮาเวิร์ดเป็นลูกชายของพ่อซึ่งเป็นคนขายผลไม้ และแม่ที่เป็นช่างเย็บผ้า

ฮาเวิร์ดจึงเติบโตมาโดยเรียนรู้ว่า ชีวิตนี้มีการแบ่งชนชั้นวรรณะชัดเจนในสังคมอเมริกัน ฮาเวิร์ดจึงมุ่งมั่นที่จะไม่จมอยู่ในชนชั้นล่างเช่นนี้ไปตลอดชีวิตแน่นอน และในช่วงไฮสคูล ฮาเวิร์ดก็ได้เป็นนักเรียนทุน เพราะความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์คิดค้นของตน

ฮาเวิร์ด สตาร์ค (Agent Carter ss.1)

ปี 1934 ฮาเวิร์ดอายุ 17 ปี ที่งานประชุมนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์มีชื่อทั่วโลก ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ หนุ่มน้อยฮาเวิร์ดก็ได้ทุนมาที่งานนี้ และพบกับนักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจชาวเยอรมันนามว่า Dr. Abraham Erskine (ด็อกเตอร์ อับบราฮัม เอิลสกิน) ทั้งคู่ต่างถูกชะตากันในความอัจฉริยภาพที่มีใกล้เคียงกัน และดร.เอิลสกินกับฮาเวิร์ดต่างก็แยกย้ายกลับประเทศตนเอง

อับบราฮัม เอิลสกิน (Cap 1)

 

ปี 1939 ฮาเวิร์ดอายุ 22 ปี และด้วยความมุ่งมั่น บวกกับความเป็นอัจฉริยะ ฮาเวิร์ดจึงไต่เต้าตนเองสู่สายงานด้านอุตสาหกรรมและการประดิษฐ์ จนกระทั่งเติบโตขึ้นเป็นเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์หนุ่มที่เนื้อหอมในวงสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ค จากความสามารถอันมากมาย ทำให้ฮาเวิร์ดหาเงินทุนจากน้ำพักน้ำแรงในการขายงานประดิษฐ์ จนมาเปิดบริษัท Stark Industries. (สตาร์ค อินดัสทรีส์) ของตนเองขึ้นมาจนได้ ซึ่งฮาเวิร์ดตั้งใจประดิษฐ์คิดค้นวิทยาการใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ฮาเวิร์ดเป็นหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงที่มีชื่อเสียงอย่างมากมายในยุคนั้น

ฮาเวิร์ด  วิศกรอัจฉริยะ (Agent Carter ss.1)

 

ปี 1940 ฮาเวิร์ดอายุ 23 ปี ฮาเวิร์ดก็ได้โลหะที่หายากที่สุดในโลกมาครอบครอง ซึ่งได้มาจากประเทศปิดในอาฟริกา ประเทศที่มีชื่อว่า วากันด้า ฮาเวิร์ดนั้นได้โลหะชนิดนี้มาเพียงเล็กน้อย และฮาเวิร์ดก็คิดว่ามันคงไม่มีอีกแล้ว โลหะชนิดนั้นก็คือ ไวเบรเนียม ฮาเวิร์ดนำมันมาทำเป็นโล่ และจัดงานสาธิตให้คนทั่วไปได้ดูด้วย

 

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มปะทุ

 

รัฐบาลสหรัฐนั้นให้บริษัทสตาร์คอินดัสทรีส์เป็นผู้ผลิตอาวุธให้ทางกองทัพ นี่จึงเป็นสายงานผลิตใหม่ของบริษัท คือผลิตอาวุธสงครามนั่นเอง ซึ่งเริ่มต้นนั้นฮาเวิร์ดก็คิดผลิตอาวุธเพียงเพื่อต้องการช่วยเหลือกองทัพสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรเท่านั้น ต่อมาฮาเวิร์ดก็ถูกนักฆ่าของไฮดร้าพยายามลอบสังหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือจากผู้พัน Chester Phillips (เชสเตอร์ ฟิลลิป)

ผู้พันเชสเตอร์ ฟิลลิป (Cap 1)

 

ปี 1941 ฮาเวิร์ดอายุ 24 ปี เพกกี้ คาเตอร์ เจ้าหน้าที่สาวสายลับ MI5 ซึ่งทำหน้าที่ด้านหน่วยข่าวกรองทหารของกองทัพอังกฤษ ก็เดินทางมาพบกับกองทัพของอเมริกา และรายงานว่า บัดนี้หน่วยไฮดร้าของกองทัพนาซี ได้บดขยี้สเปนป่นปี้เสียประเทศไปแล้ว และกำลังคืบคลานรุกรานประเทศแถบยุโรปอย่างหนัก โดยที่หน่วยไฮดร้ามีวิทยาการรบที่ล้ำสมัยมากมายนัก

เอเจ้นท์คาร์เตอร์ (Cap 1)

 

รัฐบาลสหรัฐจึงจัดตั้งหน่วย SSR ขึ้นมาในอเมริกา โดยให้ผู้พันฟิลิปเป็นหัวหน้าหน่วย SSR ซึ่งมีหน้าที่ปะทะกับไฮดร้าโดยเฉพาะ ผู้พันฟิลิปจึงเชิญให้ฮาเวิร์ดมาช่วยผลิตอาวุธล้ำสมัยต่อกรกับไฮดร้าด้วย ฮาเวิร์ดตอบตกลงทันทีเพราะผู้พันฟิลิปคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตน

ผู้พันฟิลิปยังได้ขอยืมตัวเอเจ้นท์คาเตอร์มาจากรัฐบาลอังกฤษ ให้มาช่วยงานด้านข่าวกรอง เพราะเอเจ้นท์คาเตอร์นั้นรู้ลึกในพื้นที่ที่เยอรมันแทรกซึมได้อย่างดี เนื่องด้วยเอเจ้นท์คาเตอร์นั้นก็แฝงตัวมาในยุโรปเนิ่นนานเช่นกัน

และฮาเวิร์ดก็ได้พบกับนักวิทยาศาสตร์เพื่อนเก่าที่เคยพบกันในเจนีวา คือดร.เอิลสกินนั่นเอง ซึ่งเอเจ้นท์คาเตอร์ไปช่วยดร.เอิลสกินหนีออกมาจากเยอรมันได้ และลี้ภัยมาอยู่ที่อเมริกา ฮาเวิร์ดจึงให้ดร.เอิลสกินมาช่วยงานใน SSR ด้วยอีกคน ซึ่งผู้พันฟิลิปก็นับถือดร.เอิลสกินมาก เพราะดร.เอิลสกินช่วยผลิตอะไรหลายๆอย่างช่วยเหลือหน่วย SSR ได้เป็นอย่างดีตลอด

ผู้พันฟิลิปกับดร.เอิลสกิน(Cap 1)

 

ปี 1942 ฮาเวิร์ดอายุ 25 ปี หลังจากญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ บริษัทสตาร์คอินดัสทรีส์ของฮาเวิร์ดก็ผลิตเครื่องบินขับไล่ให้กองทัพสหรัฐฯ ตามไล่บดขยี้ทัพอากาศญี่ปุ่น ส่งผลให้ฮาเวิร์ดมีอิทธิพลในกองทัพเพิ่มขึ้นไปอีก

ปี 1943 ฮาเวิร์ดอายุ 26 ปี และดร.เอิลสกินก็ริเริ่มโปรเจครีเบิร์ธจากสูตรยาเหนือมนุษย์ของตน ซึ่งฮาเวิร์ดก็ช่วยผลิตเครื่องไครโอชิงค์ให้ดร.เอิลสกิน จนกระทั่งดร.เอิลสกินพบกับ Steve Rogers (สตีฟ โรเจอร์ส์) ชายหนุ่มผู้มีใจเด็ดเดี่ยวชาวบรูคลิน ดร.เอิลสกินจึงให้สตีฟคือทหารคนแรกในโปรเจครีเบิร์ธของตนเอง เมื่อสตีฟกลายเป็นกัปตันอเมริกาแล้ว ดร.เอิลสกินกลับถูกลอบสังหาร ทำให้ฮาเวิร์ดขาดมิตรที่ดีไปหนึ่งคน

กำเนิดกัปตันอเมริกา (Cap 1)

 

ฮาเวิร์ดได้รับการขอร้องจากเพกกี้ ให้ช่วยขับเครื่องบินพาสตีฟลอบเข้าไปในเขตประเทศออสเตรีย ที่ซึ่งหน่วย 107 ของบัคกี้ถูกจับไป และฮาเวิร์ดก็ตกลง ทำให้สตีฟนั้นเชื่อใจฮาเวิร์ดนับตั้งแต่นั้น

ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีกันเรื่อยมา และสตีฟก็นำวิทยาการเชื้อเพลิงอานุภาพร้ายแรงที่ดร.โซล่าของไฮดร้าสกัดมาจากแทซเซอแร็ค เพื่อให้ฮาเวิร์ดทดสอบ

ฮาเวิร์ดทดสอบอาวุธไฮดร้าที่สกัดจากแทซเซอแรค (Cap 1)

 

ผลปรากฎว่าระเบิดใส่หน้าฮาเวิร์ดจนถึงกับกระเด็นไปเลย ฮาเวิร์ดจึงสนใจในเชื้อเพลิงอานุภาพสูงอันนี้มาก และวิจัยมันมาเรื่อยๆ

สตีฟขอโล่ไวเบรเนียมกับฮาเวิร์ด ไว้ไปใช้ในสงคราม ซึ่งฮาเวิร์ดก็ยินดีให้ ฮาเวิร์ดนั้นมองสตีฟเป็นเพื่อนรักของตนเองเสมอ ถึงตัวเขาจะไม่ได้ไปร่วมรบกับสตีฟก็ตาม

สตีฟพบโล่คู่ใจครั้งแรก (Cap 1)

 

ปี 1944 ฮาเวิร์ดอายุ 27 ปี ขณะที่หน่วยฮาวลิ่งคอมมาโดของสตีฟตามถล่มไฮดร้าอยู่นั้น ฮาเวิร์ดก็ได้ไปที่อังกฤษ และได้ช่วยเหลือนักบินหนุ่มชาวอังกฤษไว้หนึ่งคนจากศาลทหารนามว่า Edwin Jarvis (เอ็ดวิน จาร์วิส) ด้วยข้อหาปลอมแปลงเอกสารที่ร้ายแรง (เพื่อช่วยเมีย)

แต่ด้วยอิทธิพลของฮาเวิร์ดที่มีมากมายในกองทัพพันธมิตรและรัฐบาลสหรัฐ ทำให้จาร์วิสรอดพ้นจากคุกมาได้ แต่จาร์วิสก็ถูกไล่ออกจากกองทัพอังกฤษอยู่ดี ฮาเวิร์ดจึงชวนจาร์วิสและอันนาซึ่งเป็นภรรยาของจาร์วิสมาอยู่ที่อเมริกาด้วยกัน จาร์วิสจึงซาบซึ้งบุณคุณฮาเวิร์ดมากที่ช่วยเหลือครอบครัวตน จาร์วิสจึงยินดีเป็นพ่อบ้านให้ฮาเวิร์ด แต่ฮาเวิร์ดก็มองจาร์วิสเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา

เอ็ดวิน จาร์วิส (Agent Carter ss.1)

 

ปี 1945 ฮาเวิร์ดอายุ 28 ปี สตีฟก็จมหายไปกับเครื่องบินรบวัลคีรีที่บริเวณทะเลน้ำแข็งอาร์คติก หน่วยSSR และฮาเวิร์ดต่างค้นหาสตีฟกันให้วุ่น แต่ฮาเวิร์ดก็พบเพียงแทซเซอแร็ค และค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบตัวสตีฟ ทำให้ฮาเวิร์ดนั้นเสียเพื่อนที่ดีไปอีกคนนึงแล้ว

ฮาเวิร์ดควบคุมการค้นหาสตีฟ (Cap 1)

ปี 1946 ฮาเวิร์ด อายุ 29 ปี เมื่อสงครามจบลง หน่วย SSR ก็ไปขึ้นตรงกับรัฐบาล ผู้พันฟิลิปก็กลับไปทำงานให้เพนตากอน ฮาเวิร์ดก็ถูกเขี่ยกระเด็นออกจากหน่วย SSR เช่นกัน ส่วนเพกกี้นั้นไม่กลับอังกฤษ หากแต่อยู่ทำงานกับหน่วย SSR ที่อเมริกาต่อไป

และมีเหตุการณ์ที่อาวุธของฮาเวิร์ดหายไปมากมายหลายชนิดจากห้องนิรภัยในแมนชั่นหรูกลางนิวยอร์ค รัฐบาลและหน่วย SSR ใส่ความฮาเวิร์ดว่าขายชาติ ฮาเวิร์ดไม่มีทางเลือก จึงหนีหน้าไปก่อน ก่อนหนีไปนั้น ฮาเวิร์ดมาหาเพกกี้ เพื่อขอร้องเพกกี้สืบหาคนขโมยอาวุธเหล่านั้นไป และให้จาร์วิสมาช่วยเพกกี้สืบ

หนังสือพิมพ์ปิดหน้า นั่นคือ สแตน ลี (Agent Carter ss.1)

 

เมื่อทุกอย่างเปิดเผยว่า ดร.อิฟเชนโก้แห่งกลุ่มก่อการร้ายลาเวียธานของโซเวียต คือผู้อยู่เบื้องหลังการขโมยอาวุธของฮาเวิร์ดครั้งนี้ ฮาเวิร์ดจึงกลับไปมอบตัวกับ SSR และเสนอตนเองมาล่อจับดร.อิฟเชนโก้ แต่ฮาเวิร์ดก็พลาดท่าถูกจับซะเอง จึงโดนดร.อิฟเชนโก้สะกดจิตให้ฮาเวิร์ดนำอาวุธเคมีของตนเองที่ชื่อ หมอกราตรี ไปโปรยกลางเมืองนิวยอร์คในงานทหารผ่านศึก

ฮาเวิร์ดบินโปรยหมอกราตรี (Agent Carter ss.1)

 

ซึ่งดร.อิฟเชนโก้ใช้ความรู้สึกผิดของฮาเวิร์ดที่ค้นหาเพื่อนรักอย่างกัปตันอเมริกาไม่พบ มาเป็นตัวจี้ใจฮาเวิร์ดให้ทำตามบงการ แต่เพกกี้ก็ช่วยดึงสติให้ฮาเวิร์ดกลับมาได้ เหตุการณ์นี้จึงทำให้เพกกี้รู้ว่า ฮาเวิร์ดนั้นรักและนับถือกัปตันอเมริกาคนรักของเธอมากแค่ไหน

ปี 1947 ฮาเวิร์ด อายุ 30 ปี ฮาเวิร์ดไปก่อตั้งสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดที่ชื่อ สตาร์คพิกเจอร์ส เวลาเดียวกับที่เพกกี้ได้มีโอกาสไปสืบสวนคดีประหลาดในเมืองฮอลลีวู้ดเช่นกัน ที่ซึ่งอดีตนักวิทยาศาสตร์สาวและดาราชื่อดัง วิทนีย์ ฟรอสท์ ได้ค้นพบกับขุมพลังมืดจากต่างมิติที่เรียกว่า ดาร์คฟอร์ซ และขุมพลังที่ว่านั้นคือ ซีโร่แมตเทอร์

เพกกี้ จาร์วิส ฮาเวิร์ด ในฮอลลีวู้ด (Agent Carter ss.2)

 

วิทนีย์ พยายามเปิดประตูมิติมืดนี้ให้ถาวรเพื่อดึงดาร์คฟอร์ซมาใช้ แต่สุดท้ายแล้ว ฮาเวิร์ดกับเพกกี้ก็ช่วยกันปิดประตูมิติดาร์คฟอร์ซนี้ได้ และดูดให้ซีโร่แมตเทอร์กลับสู่มิติดาร์คฟอร์ซ ซึ่งคือที่ที่มันจากมาได้สำเร็จ

ปี 1948 ฮาเวิร์ดอายุ 31 ปี ในตอนนี้หน่วยชิลด์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และผู้ก่อตั้งก็คือ ผู้พันฟิลิป เพกกี้ คาร์เตอร์ และฮาเวิร์ด สตาร์ค โดยสิ่งแรกที่ฮาเวิร์ดทำก็คือ ยุบหน่วยSSR และยึดทุกอย่างมาเป็นของชิลด์ ทั้งฐานลับ/คุกลับ/อาวุธที่เก็บไว้อย่างลับๆ ฮาเวิร์ดยังได้รื้อฟื้นการค้นหาศพของกัปตันอเมริกาขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นหน่วยชิลด์จึงไม่หยุดค้นหากัปตันอเมริกาอีกเลย

เพกกี้ ฮาเวิร์ด ผู้พันฟิลิป 3ผู้ก่อตั้งชิลด์ (Cap 2)

 

ฮาเวิร์ดยังคงวิจัยแทซเซอแร็คมาอย่างต่อเนื่อง และฮาเวิร์ดก็เริ่มปฎิบัติการ Peperclip ด้วยการนำนักวิทยาศาสตร์เยอรมันเชลยสงคราม มาทำงานให้หน่วยชิลด์ รวมถึงดร.โซล่าด้วย นั่นจึงทำให้ไฮดร้าเกิดใหม่ขึ้นอีกครั้งภายใต้เงาชิลด์..

ปี 1950- 1968 ช่วงเวลานี้ ฮาเวิร์ดและแอนทอน แวนโก้ นักวิทยาศาสตร์ประจำบริษัทสตาร์คอินดัสทรีส์ ก็ร่วมงานกันจนผลิตเตาปฎิกรณ์อาร์คได้สำเร็จ และฮาเวิร์ดก็ได้พบรักกับสาวนิวยอร์คที่ชื่อ มาเรีย จนในที่สุด ฮาเวิร์ดก็ตัดสินใจแต่งงานกับมาเรีย

มาเรีย สตาร์ค (Cap 3)

 

ปี 1969 ฮาเวิร์ดอายุ 52 ปี ฮาเวิร์ดกับเพกกี้รับนักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนนึงมาเป็นที่ปรึกษาให้หน่วยชิลด์ นักวิทยาศาสตร์คนนั้นมีชื่อว่า Dr.Hank pym (ดร.แฮงค์ พิม) และดร.พิมก็เริ่มคิดค้นอนุภาคพิมขึ้นมา

ปี 1970 ฮาเวิร์ดอายุ 53 ปี  เรื่องภายในบริษัทสตาร์คอินดัสทรีส์ก็เริ่มวุ่นวาย เมื่อฮาเวิร์ดจับได้ว่าแอนทอนวางแผนแอบขโมยสูตรสร้างเตาปฎิกรณ์อาร์คไปขายให้รัฐบาลโซเวียต ฮาเวิร์ดจึงไล่แอนทอนออก และแอนทอนก็หอบลูกชายตัวเล็กๆที่ชื่อ ไอวาน แวนโก้ กลับไปอยู่รัสเซีย ฮาเวิร์ดกับมาเรียได้ลูกชาย โดยทั้งสองตั้งชื่อลูกคนนี้ว่า Anthony “TONY” Stark (โทนี่ สตาร์ค)

ช่วงนี้เปลี่ยนตัวนักแสดงแล้วครับ ด้วยวัยที่มากขึ้นของตัวละคร (IRON MAN 2)

ปี 1972 ฮาเวิร์ดอายุ 55 ปี ดร.โซล่าก็เสียชีวิตลงด้วยสุขภาพไม่ดี แต่ฮาเวิร์ดนั้นเป็นพวกเนิร์ดบ้าวิทยาศาสตร์ จึงเสียดายความรู้ของดร.โซล่า และเก็บฐานความรู้ของดร.โซล่าไว้ในคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ยักษ์ ตั้งอยู่ในฐานลับชิลด์ที่นิวเจอร์ซี่ ทำให้ดร.โซล่าก็ยังคงสั่งการไฮดร้าต่อไปได้ แม้ไม่มีร่างกายก็ตาม 

โซล่าในระบบสมองกล (Cap 2)

 

ปี 1974 ฮาเวิร์ดอายุ 57 ปี งานสตาร์คเอ๊กซ์โปว์ครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้นในปีนี้ และตั้งแต่ฮาเวิร์ดเข้ามาเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยชิลด์ ฮาเวิร์ดก็ได้ทำการวิเคราะห์พลังงานแทซเซอแร๊คนานนับหลายสิบปี จนฮาเวิร์ดสามารถจำลองพลังงานแทซเซอแร๊คได้เป็นบางส่วน แค่นี้ก็พอที่จะให้กำเนิดเป็นธาตุให้พลังงานตัวใหม่ แต่วิทยาการสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวย ฮาเวิร์ดจึงซ่อนสูตรการสร้างธาตุตัวใหม่นี้ไว้ในผังโครงสร้างงานสตาร์คเอ๊กซ์โปว์ และอัดวีดีโอบอกใบ้ให้ลูกชาย โทนี่ สตาร์ค เอาไว้

ฮาเวิร์ดทิ้งบางอย่างไว้ให้โทนี่ (Iron Man 2)

 

ปี 1975-1979 ฮาเวิร์ดก็เลี้ยงดูโทนี่มาโดยพูดถึงแต่ความดีของกัปตันอเมริกา และยกย่องในวีรกรรมของสตีฟตลอด เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ซึมซับเข้าไปในตัวโทนี่บ้าง จึงทำให้โทนี่รับรู้ว่าพ่อของตนนั้นเคารพกัปตันอเมริกามากแค่ไหน (แต่โทนี่ไม่รู้ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งหน่วยชิลด์) ซึ่งในวัยเด็กโทนี่มักอยู่กับจาร์วิสซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้โทนี่สนิทกับจาร์วิสมากกว่าฮาเวิร์ดซะอีก

ฮาเวิร์ดเริ่มผมหงอก (Ant-Man 1)

 

ปี 1987 ฮาเวิร์ดอายุ 70 ปี ชิลด์นั้นได้ข่าวว่า หน่วยทหารของไฮดร้าที่เบอร์ลินซึ่งยังหลงเหลือนั้น แอบทดลองวิจัยบางอย่างกับมนุษย์ (ล้างสมองเหมือนบัคกี้) ดร.พิมซึ่งตอนนี้ผลิตอานุภาคพิมและชุด ANT-MAN ได้สำเร็จแล้ว ฮาเวิร์ดจึงตั้งใจไปขอยืมชุด ANT-MAN กับอานุภาคพิมให้จนท.ชิลด์คือไมค์ คาร์สัน ใส่ไปปฎิบัติการณ์นี้ที่เบอร์ลิน แต่ดร.พิมไม่ให้ ทั้งสองมีปากเสียงกันเล็กน้อย จนกระทั่งเพกกี้มาห้าม

าเวิร์ดเจรจากับดร.พิม (Ant-Man 1)

 

เพกกี้จึงให้ดร.พิมใส่ชุด ANT-MAN ของตนเองไปทำภารกิจซะเลย และตั้งแต่บัดนั้น ดร.พิมก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ลับพิเศษของชิลด์ ที่ไปปฎิบัติภารกิจโดยที่ชิลด์ไม่บันทึกข้อมูลไว้ (จริงหรือ? ยังไงชิลด์ก็แอบบันทึกข้อมูลภารกิจจนได้นั่นละ)

ปี 1989 ฮาเวิร์ดอายุ 72 ปี ตลอดสองปีที่ดร.พิมใส่ชุด ANT-MAN ทำภารกิจลับให้ชิลด์นั้น ฮาเวิร์ดก็พยายามขอสูตรอนุภาคพิมกับดร.พิมมาตลอด แต่ดร.พิมไม่ให้ และฟางเส้นสุดท้ายของดร.พิมก็ขาดลง เมื่อดร.พิมล่วงรู้ว่าฮาเวิร์ดและคาร์สันร่วมมือกันพยายามลอกสูตรอนุภาคพิม ดร.พิมจึงยื่นใบลาออกกับฮาเวิร์ด และไปเปิดบริษัท พิม เทคโนโลยี

 

16 ธันวาคม ปี 1991 ฮาเวิร์ดอายุ 74 ปี ฮาเวิร์ด สตาร์ค ได้คิดค้นเซรุ่มสูตรยาจอมพลังได้คล้ายกับของแคปสำเร็จจนได้ แต่ขณะที่ฮาเวิร์ดและมาเรียกำลังจะขับรถเดินทางไปสนามบินนั้น ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น

ฮาเวิร์ดและมาเรีย (Cap 3)

 

ระหว่างเดินทาง สองสามีภรรยาตระกูลสตาร์คก็โดนบัคกี้หรือ “Winter Soldier” ตามมาสังหารทั้งมาเรียและฮาเวิร์ดอย่างเหี้ยมโหด บัคกี้เอาเซรุ่มจอมพลัง 5 ถุงไปจากท้ายรถฮาเวิร์ดกลับไปฐานไฮดร้าที่ไซบีเรีย และจัดฉากว่านี่คืออุบัติเหตุทางรถยนต์ คนทั้งโลกไม่มีใครรู้เรื่องลอบสังหารนี้ ยกเว้นโครงการวินเทอร์โซลเยอร์ของไฮดร้า..

ฮาเวิร์ด สตาร์ค จบชีวิตลงด้วยวัย 74 ปี (Cap 3)

 

จบบทความเรื่องราวของ

ฮาเวิร์ด สตาร์ค

แต่เพียงเท่านี้

 

สวัสดีครับ

ผู้เขียน หลวงจีนหอไตร

Hello! Every one. จุดเริ่มต้นงานเขียนของผมก็คือ ผมเป็นนักอ่านก่อนครับ และที่ผ่านมาผมก็หาอ่านงานเขียนแนวสรุปภาพยนตร์ยากเย็นเหลือเกิน ผมจึงเริ่มเขียนบทความเองและสร้างเว็บไซต์เองซะเลย

ดูโพสท์ทั้งหมด

Tags: