เนื้อเรื่อง Jason Bourne ทั้ง 5 ภาค

หมวดหมู่ FILM ผู้เขียน

ยุค 90′ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ Ward Abbott (วอร์ด แอปบอทท์) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของ CIA ได้ริเริ่มโปรเจคลับสุดยอดที่ชื่อ Tredstone (เทรดสโตน) ขึ้นมา เพื่อจัดการกับสิ่งที่อาจจะมีปัญหากระทบกับความมั่นคงสหรัฐฯ

ซึ่งเทรดสโตน มีเป้าหมายเพื่อผลิตสายลับมือสังหารชั้นยอดแบบควบคุมได้เสร็จสรรพ (ใช้ยาหลายๆชนิดควบคุมสายลับ) โดยมี Richard Webb (ริชาร์ด เวปป์) เป็นหัวหน้าแผนกวิเคราะห์สายลับโปรเจคเทรดสโตน

ริชาร์ด เวปป์

 

หนึ่งในทหารสเปเชี่ยลลิสท์ฝีมือดี ที่โปรเจคเทรดสโตนคัดเลือกมาฝึก มีชื่อว่า ผู้กอง  David Webb (เดวิด เวปป์) ลูกชายของริชาร์ดนั่นเอง เมื่อริชาร์ดรู้ว่าเทรดสโตนจะคัดเลือกเดวิดลูกตน ริชาร์ดก็ไม่สบายใจที่ลูกจะกลายเป็นนักฆ่า  จึงคิดจะเตือนลูก

ที่กรุงเบรุต เลบานอน เดวิด นับพบกับ ริชาร์ด พ่อของตน เดวิดจะมาบอกพ่อว่า มีโปรเจครัฐบาลที่ชื่อ เทรดสโตน กำลังทาบทามตัวเขาเข้าร่วม แต่ริชาร์ดนั้นบอกลูกไม่ได้ ว่าตนเองคือนักวิเคราะห์ของโปรเจคนี้

ระหว่างทางที่ริชาร์ดกำลังกลับ Robert Dewey (โรเบิร์ต ดิวอี้) รองผู้อำนวยการซีไอเอ และผู้ก่อตั้งโปรเจคแบล็คไบอาร์ เห็นควรว่าต้องกำจัดริชาร์ด ที่อาจเป็นภัยคุกคามของโปรเจคลับฝึกนักฆ่าต่างๆในซีไอเอ

โรเบิร์ต ดิวอี้

 

ดิวอี้ จึงสั่งให้ The Asset (ดิ แอสเสท) สายลับนักฆ่ามือหนึ่งของโปรเจคแบล็คไบอาร์ ทำการลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์สังหารริชาร์ดซะ แล้วจัดฉากว่าเป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย

โดยที่เดวิด ก็เห็นหน้าแอสเสทในที่เกิดเหตุด้วยในช่วงก่อนพ่อตาย แต่เดวิดไม่ทันคิดว่าแอสเสทคือมือสังหาร คิดว่าคนทั่วไปอยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น และแอสเสท ก็ขับรถหายตัวไปในความวุ่นวาย

ดิ แอสเสท นักฆ่าของโปรเจคแบล็คไบอาร์

 

เมื่อเดวิดไม่มีพ่อแม่ให้ห่วง (แม่เสียไปก่อนหน้านี้นานแล้ว) และเดวิดต้องการกำจัดผู้ก่อการร้ายประเภทเดียวกับที่ฆ่าพ่อตนเอง (ไม่รู้ว่าซีไอเอนั่นแหละฆ่าพ่อ) เดวิด จึงตกลงเข้าร่วมโปรเจคเทรดสโตน ทำการฝึกและกินยาควบคุม ซึ่งหลังจากที่เดวิดเข้าโปรเจคโดยสมบูรณ์ เดวิดก็เปลี่ยนชื่อเป็น Jason Bourne (เจสัน บอร์น)

ศพแรกของ เจสัน บอร์น ในฐานะมือสังหารเทรดสโตนของซีไอเอคือ นักการเมืองรัสเซียที่ชื่อ วลาดิเมียร์ เนสกี้ จากนั้น บอร์นก็ทำการลอบสังหารบุคคลสำคัญให้ซีไอเอในโปรเจคลับเทรดสโตนเรื่อยมา โดยบอร์นมีฐานประจำการภารกิจอยู่ในกรุง ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เดวิด เวปป์ หรือ เจสัน บอร์น 

 

 

1 The Bourne Identity 

 

ปี 2002 Nykwana Wombosi (นีกวานา วอมโบซี่) ผู้นำกองกำลังหัวรุนแรงของไนจีเรีย ได้ขอลี้ภัยออกจากประเทศตนเองมาอยู่ในยุโรป ซึ่งวอมโบซี่ฮึ่มๆ ขู่จะเปิดโปงภารกิจเทาๆของซีไอเอที่มีต่อประเทศต่างๆในทวีปแอฟริกา และวางแผนจะเขียนเป็นหนังสือแแฉเลยทีเดียว

นีกวานา วอมโบซี่ 

 

โปรเจคเทรดสโตน จึงส่งบอร์นไปสังหารวอมโบซี่ปิดปาก โดยผู้บัญชาการและรับผิดชอบภารกิจนี้คือ Alexander Conklin (อเล็กซานเดอร์ คองกลิ้น) หัวหน้าหน่วยสั่งการภาคสนามของเทรดสโตน

ซึ่งแอปบอต รวมถึงผ.อ.ซีไอเอ และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่มีใครรับรู้ภารกิจสังหารวอมโบซี่ทั้งสิ้น ทุกอย่างคองกลิ้นตัดสินใจด้วยตนเอง เพื่อป้องกันกรณีผิดพลาด เรื่องจะได้ไม่ลุกลาม

อเล็กซานเดอร์ คองกลิ้น ผู้สั่งการภารกิจสังหารวอมโบซี่

 

อาทิตย์ที่หนึ่ง ตอนนี้วอมโบซี่อยู่ที่บ้านรับรองของตนเองในปารีส โดยบอร์นต้องจัดฉากให้เหมือนกับว่าวอมโบซี่ถูกฆ่าโดยพวกพ้องลูกน้องของตนเอง บอร์นจึงใช้ชื่อปลอมว่า John Michael Kane แฝงตัวเข้าไปในปารีส และเช่าอพาร์ทเม้นท์กลางกรุงปารีสเพื่อวางแผน

และแผนของบอร์นก็คือ บอร์นจะลอบขึ้นเรือยอร์ชของวอมโบซี่ที่ลอยลำอยู่กลางทะเลห้าไมล์จากชายฝั่งของเมืองมาร์แซย์ และสังหารซะ แต่บอร์นกลับพลาดและถูกยิงตกทะเลไป

บอร์นหมดสติลอยคออยู่กลางทะเลนานหลายชั่วโมง จนลอยไปถึงกลางทะเลเมดิเตอริเนียนห่างจากฝั่งมาร์แซร์ถึง หลายไมล์ ก่อนที่เรือประมงจะมาพบบอร์นอยู่กลางทะเลเมดิเตอริเนียน ลูกเรือประมงคิดว่าบอร์นตายแล้วด้วยซ้ำ แต่บอร์นยังขยับได้

สภาพบอร์นถูกยิงตกทะเลหมดสติ

 

หมอประจำเรือ ผ่าตัดเอาลูกกระสุนสองนัดที่ฝังอยู่กลางแผ่นหลังของบอร์นออก แต่หมอก็พบชุดตัวเลขบัญชีธนาคารในสวิสเซอแลนด์ฝังอยู่ในสะโพกของบอร์นด้วย บอร์นนั้นตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นปฏิกิริยาตอบสนองที่สูงและทักษะการเอาตัวรอดต่างๆ

ด้านวอมโบซี่ก็เดือดดาลมากที่ซีไอเอจะลอบสังหารตนเอง ซึ่งก็เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เพราะวอมโบซี่ก็ไม่มีหลักฐานกล่าวหาซีไอเอ แต่วอมโบซี่ก็ขู่ออกสื่อว่า งานนี้ได้เราจะได้เห็นกัน

ที่ฐานซีไอเอในแลงลีย์ ร้อนถึงแอปบอตที่ต้องมาพบกับคองกลิ้น เพื่อถามคองกลิ้นตรงๆว่า การพยายามลอบสังหารวอมโบซี่คือหนึ่งในโปรเจคเทรดสโตนใช่หรือไม่ คองกลิ้นจึงบอกตรงๆว่า ใช่ และสายลับเทรดสโตนที่ทำพลาดนั้นหายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

วอร์ด แอปบอต ผู้ก่อตั้งปรเจคเทรดสโตน

 

อาทิตย์ที่สอง เมื่อบอร์นขึ้นฝั่งแล้ว บอร์นก็เดินทางไปที่ธนาคารในซูริคประเทศสวิสเซอแลนด์ทันที เพื่อหาข้อมูลคลายปริศนาว่าตนเองเป็นใคร

เมื่อบอร์นเข้าไปในห้องนิรภัยที่ตนเองฝากของไว้ บอร์นก็พบกับพาสปอร์ตมากมายหลายเล่ม ซึ่งทุกเล่มเป็นหน้าตนเองทั้งหมด แต่ชื่อและสัญชาติไม่เหมือนกันซักเล่ม พร้อมด้วยเงินสดและปืน

บอร์นจึงนำทุกอย่างในตู้นิรภัยของตนเองยกเว้นปืนใส่ในถุงผ้าแดง และรีบออกจากธนาคารทันที ซึ่งตอนนี้บอร์นรู้แล้วว่าตนเองชื่อ เจสัน บอร์น และมีห้องพักในปารีส (จากข้อมูลในตู้นิรภัยนั่นละ)

บอร์นนำสัมภาระออกจากธนาคารในซูริค

 

สายข่าวในธนาคารของ Daniel Zorn รายงานทันทีว่าบอร์นปรากฏตัวแล้ว แดเนี่ยลจึงประสานงานให้ตำรวจสวิสฯจับตัวบอร์นไว้ก่อน ตำรวจสวิสฯจึงเริ่มไล่ตามบอร์น ซึ่งบอร์นกำลังโทรฯไปเช็คที่อยู่ของตนในปารีสพอดี และบอร์นก็รีบหนีตำรวจสวิสฯเข้าไปในสถานกงสุลสหรัฐฯ

แดเนี่ยล ซอร์น ซีไอเอหนุ่ม ผู้ช่วยคองกลิ้น

 

ในสถานกงสุลสหรัฐฯนี้เอง บอร์นเห็นหญิงสาวที่ชื่อ Marie Helena Kreutz (มารี) กำลังโวยวายเรื่องกรีนการ์ดกับเจ้าหน้าที่ออกวีซ่าพอดี จังหวะนั้นพวกตำรวจลับในสถานกงสุลสหรัฐฯก็ได้รับแจ้งจากซีไอเอให้จับตัวบอร์น แต่บอร์นก็คว่ำเจ้าหน้าที่ทุกคนที่จะมาจับและหนีออกไปได้

บอร์นพบกับมารีที่ตรอกข้างๆสถานกงสุลสหรัฐฯอีกครั้ง ซึ่งมารีกำลังจะขึ้นรถขับออกไปที่อื่น บอร์นจำได้ว่ามารีโวยวายเรื่องไม่มีงานทำ แสดงว่ามารีร้อนเงิน บอร์นจึงเสนอเงินให้มารี 20,000 เหรียญ แลกกับการไปส่งตนเองที่อพาร์ทเม้นต์ในปารีส ตอนแรกมารีลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด

มารีและบอร์นเดินทางร่วมกัน

 

คองกลิ้นสั่งให้แดเนี่ยลตามตัวสายลับทุกคนที่อยู่ในโปรเจคเทรดสโตนมาทั้งหมด เพื่อไล่ล่าบอร์นและเก็บบอร์นซะเลย เรื่องจะได้ไม่บานปลาย คองกลิ้นกับแดเนี่ยลและทีมงานซีไอเอในโปรเจคเทรดสโตน ต่างเร่งรีบช่วยกันแกะรอยบอร์นจากกล้องวงจรปิดในซูริครอบๆสถานกงสุลสหรัฐฯ และพบว่าบอร์นขึ้นรถไปกับ มารี เฮเลน่า ครูทซ์ ผู้หญิงที่หาหัวนอนปลายเท้ายากมากๆคนหนึ่ง

ระหว่างที่บอร์นและมารีขับรถจากซูริคไปปารีส ในคืนนั้นเอง บอร์นก็เล่าให้มารีฟังทุกอย่าง ว่าตนเองมีสติตื่นตัวกับสิ่งรอบข้างยังไง มีเบอร์บัญชีธนาคารถูกฝังอยู่ในสะโพก และมีพาสปอร์ตหลายเล่มกับเงินสดอยู่ในตู้เซฟนิรภัยของธนาคารสวิสได้อย่างไร?

เมื่อถึงตอนเช้า มารีก็ขับพาบอร์นมาถึงอพาร์ทเม้นต์ในปารีสประเทศฝรั่งเศส ขณะมารีกำลังเข้าห้องน้ำ Castel หนึ่งในสายลับนักฆ่าของเทรดสโตนก็เผยตัวเป็นคนแรก และทำการจู่โจมบอร์นทันที ทั้งคู่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายมุ่งหมายชีวิตทั้งคู่

คาสเทิล สายลับนักฆ่าเทรดสโตน ที่เดินทางมาจากโรม อิตาลี

 

สุดท้ายคาสเทิลก็โดนบอร์นอัดจนน่วม และสอบสวนอย่างหนักว่าเรื่องทุกอย่างมันคืออะไร? แต่คาสเทิลก็อาศัยจังหวะที่บอร์นเผลอ กระโดดตึกฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องความลับ

เมื่อคาสเทิลตาย บอร์นจึงต้องหนีไปจากที่นั่นโดยด่วน และถามมารีว่าจะเอายังไง จะอยู่รอตำรวจที่ปารีส และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตามความจริง หรือจะหนีไปกับตนเอง ซึ่งสุดท้ายมารีก็เลือกที่จะหนีดีกว่า

และเมื่อคองกลิ้นรู้ว่าคาสเทิลทำงานไม่สำเร็จ คองกลิ้นจึงส่ง Nicky Parsons ซีไอเอสายลับสาวที่แฝงตัวอยู่ในปารีสในคราบนักศึกษาอเมริกัน ไปเก็บกวาดหลักฐานทั้งหมดที่อาจจะสาวมาถึงเทรดสโตน (นิกกี้เป็นฝ่ายจัดระเบียบข้อมูลของพวกมือสังหารเทรดสโตน)

นิกกี้ พาร์สัน ผู้กุมความลับโปรเจคมือสังหารหลายๆโปรเจค

 

นิกกี้สร้างหลักฐานเท็จโบ้ยไปให้คาสเทิล ว่าคาสเทิลคือมือสังหารที่จะฆ่าวอมโบซี่บนเรือยอร์ซที่ชายฝั่งมาร์แซร์ แต่วอมโบซี่ไม่หลงกลเชื่อ คองกลิ้นจึงคิดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับวอมโบซี่ จะได้จบเรื่องภารกิจให้สำเร็จ

ในคืนนั้นเอง บอร์นตัดผมซอยสั้นให้มารีเพื่ออำพรางตัว และมารีกับบอร์น ก็มีเซ็กส์กัน

เช้าวันรุ่งขึ้น คองกลิ้นจึงสั่งให้หนึ่งในสายลับนักฆ่าของเทรดสโตนนามว่า Professor ไปซุ่มยิงสังหารวอมโบซี่ในบ้านพักที่ปารีสให้จบๆไป ภารกิจอันยาวนานนี้ที่บอร์นทำไม่สำเร็จจึงลุล่วงซะที แต่คองกลิ้นก็ยังมีเรื่องต้องสะสางกับบอร์นที่คุมไม่อยู่ โปรเฟสเซอร์จึงได้รับคำสั่งไล่ล่าบอร์นด้วยอีกคน

โปรเฟสเซอร์ สายลับนักฆ่าเทรดสโตน ที่เดินทางมาจากบาเซโลน่า สเปน

 

อาทิตย์ที่สาม เมื่อแอปบอตรู้ข่าวว่าวอมโบซี่ถูกลอบสังหาร แอปบอตจึงมาถามคองกลิ้นว่าใครคือผู้ลงมือ แต่คองกลิ้นกลับโยนไปให้บอร์น ว่าบอร์นนั่นละคือผู้สังหารวอมโบซี่ เรื่องราวต่างๆนั้นคองกลิ้นชักจะทำให้เละเทะขึ้นเรื่อยๆแล้ว..

ด้านบอร์นก็แกะรอยจากศพของคาสเทิลในห้องดับจิต และพบว่า วอมโบซี่มาขอดูศพคาสเทิลก่อนตนเอง บอร์นสืบต่อจนรู้ว่า วอมโบซี่ถูกลอบสังหารแต่ไม่สำเร็จเมื่อเกือบสามอาทิตย์ก่อน และนักฆ่าคนนั้นก็โดนยิงที่หลังไปสองนัด บอร์นจึงรู้ว่าตนเองคือมือสังหารคนนั้น

แต่ตอนนี้วอมโบซี่ก็ตายไปอีกคน ซึ่งนักฆ่าที่มาสังหารวอมโบซี่ต่อจากบอร์น ก็ต้องเป็นพวกเดียวกับบอร์นแน่นอน ตอนนี้บอร์นจึงอยากให้มารีอยู่กับตนเองไปก่อนเพื่อความปลอดภัย จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะคลี่คลาย ว่าจริงๆแล้วบอร์นทำงานให้ใครกันแน่?

เช้าวันรุ่งขึ้น มารีก็พาบอร์นไปบ้านพี่ชายของตนที่ชื่อ Eamon และพักอยู่ที่นั่นกับอีม่อนและลูกทั้งสองคนของอีม่อนทั้งคืน ซึ่งคองกลิ้นก็แกะรอยจนไปถึงบ้านของอีม่อนเช่นกัน คองกลิ้นจึงสั่งให้นิกกี้ไปมอบพิกัดและภารกิจกับโปรเฟสเซอร์ เพื่อไล่ล่าบอร์นต่อไป

โปรเฟสเซอร์รับภารกิจจากนิกกี้

 

ในวันรุ่งขึ้น หมาของอีม่อนก็หายไป โทรศัพท์ก็ถูกตัด บอร์นจึงรู้ทันทีว่า นักฆ่าที่ฝึกมาเหมือนตนเองมาถึงที่นี่แล้ว (โปรเฟสเซอร์นั่นละ) บอร์นสั่งให้อีม่อนพาลูกๆลงไปหลบชั้นใต้ดิน และบอร์นกับโปรเฟสเซอร์ก็ชิงไหวชิงพริบไล่ล่ากันอย่างดุเดือดในป่าบนเขา ที่สุดแล้วบอร์นก็ชนะในเกมส์นี้ และยิงโปรเฟสเซอร์จนบาดเจ็บหนัก ก่อนตายโปรเฟสเซอร์บอกกับบอร์นว่า พวกเราทุกคนคือสายลับนักฆ่าในโปรเจคเทรดสโตน และโปรเฟสเซอร์ก็ขาดใจตายลงไป

บอร์นให้เงินของตนเองกับมารี และบอกให้มารีหนีไปให้ไกลที่สุด ส่วนตนเองจะไปจบเรื่องราวทุกอย่าง มารีจึงขึ้นรถไปกับอีม่อนและหลานๆทั้งสองคน

ส่วนบอร์นก็นำโทรศัพท์โปรเฟสเซอร์ โทรกลับไปที่ห้องปฏิบัติการสนามชั่วคราวของโปรเจคเทรดสโตน ซึ่งมีคองกลิ้น/แดเนี่ยล / แอปบอตฟังอยู่ และบอร์นก็นัดพบคองกลิ้นในปารีส

จากซ้ายไปขวา แอปบอต, คองกลิ้น, และ แดเนี่ยล

 

เป็นไปตามแผนของบอร์น คองกลิ้นมาพบตามนัดหมาย ซึ่งบอร์นกะไว้แล้วว่าคองกลิ้นต้องพาทีมมาด้วย บอร์นจึงยกเลิกการนัดพบ และสะกดรอยตามคองกลิ้นกลับไป

คองกลิ้นสั่งให้สายลับทุกคนเฝ้าระวังห้องปฏิบัติการสนามชั่วคราว และให้นิกกี้ลบข้อมูลทุกอย่างในฐานลับนี้ แต่บอร์นก็บุกเข้ามาจนถึงตัวคองกลิ้นและนิกกี้ และรู้ทั้งหมดแล้วว่า ตนเองคือมือสังหารของโปรเจคเทรดสโตนแห่งซีไอเอ และเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลสหรัฐฯ

ที่สุดแล้วบอร์นก็ไม่ยอมรับที่จะกลับไปเป็นมือสังหารให้เทรดสโตนอีกต่อไป ก่อนจะไว้ชีวิตคองกลิ้นและนิกกี้ และฝ่าสายลับซีไอเอที่เฝ้าอยู่ออกมา (ซึ่งบอร์นก็ยังจำอดีตได้ไม่หมด จำได้แค่เหตุการณ์ในวันที่ถูกยิงตกเรือ)

แต่คองกลิ้น ก็ต้องถูกแอปบอตสั่งฆ่า โทษฐานทำเรื่องเละเทะมากเกินความจำเป็น แดเนี่ยลรับคำสั่งแอปบอต จึงส่งมือสังหารมาจัดการคองกลิ้น

จุดจบของ อเล็กซานเดอร์ คองกลิ้น

 

หลายวันต่อมา.. แอปบอตแถลงต่อคณะกรรมการสอบสวนของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าโปรเจคเทรดสโตนนั้นเป็นโปรเจคที่ไม่สมบูรณ์ มุ่งเน้นทฤษฎี และเปลืองงบ พร้อมกับเสนอโปรเจคใหม่ให้คณะกรรมการพิจารณา นั่นคือโปรเจค Blackbriar (แบล็คไบรอาร์)

ที่เมือง Mykonos ประเทศ Greek บอร์นก็ตามหามารีจนมาพบที่นี่ ซึ่งมารีมาเปิดร้านให้นักท่องเที่ยวเช่ามอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวนั่นเอง และทั้งสองคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาสองปี ย้ายที่อยู่ไปหลายๆประเทศ โดยไม่มีเรื่องวุ่นๆของสายลับมาเกี่ยวข้องอีกเลย..

มารีและบอร์น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

ปี 2004 ที่รัฐกัว ประเทศอินเดีย ผ่านไป 2 ปีแล้วตั้งแต่คองกลิ้นตาย และบอร์นเป็นอิสระ บอร์นและมารีหนีมาแฝงตัวอยู่ที่กัว เมืองท่องเที่ยวเล็กๆติดทะเลอาหรับ เพราะที่นี่คือเมืองที่มากหน้าไปด้วยนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้คนผิวขาวอย่างบอร์นและมารีกลมกลืนได้ไม่ยาก

ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น บอร์นพยายามจดทุกอย่างที่ตนจำได้ไว้ในสมุดบันทึก และสิ่งที่บอร์นจำได้ล่าสุดนั้น คือเสียงคลองกลิ้นสั่งให้บอร์นไปทำภารกิจแรกในฐานะสายลับนักฆ่าของเทรดสโตน และภาพใบหน้าของเป้าหมายนั้นชัดเจนมาก บอร์นจึงรีบมาจดบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้เช่นเคย

 

2 The Bourne Supremacy

 

ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน Pamela Landy (พาเมล่า แลนดี้) เจ้าหน้าที่ซีเนียร์ของ CIA คุมภารกิจลับล่อซื้อแฟ้มลับที่ชื่อ Neski files (แฟ้มลับของเนสกี้) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินที่หายไป ภารกิจดูเหมือนจะลื่นไหลไปตามแผนของแพม

แพม เจ้าหน้าที่อาวุโสของซีไอเอ

 

แต่แล้ว Kirill (คิริล) มือสังหารลึกลับอดีตสเปเชียลลิสท์หน่วย FSB ของรัสเซีย ก็ทำการซ้อนแผนล่อซื้อของแพม ด้วยการวางระเบิดตัวตัดกระแสไฟในตึกที่ทำการซื้อขายแฟ้มลับของเนสกี้ และใช้ลายนิ้วมือของบอร์นแปะไว้บริเวณที่ตัดกระแสไฟ เพื่อโยนความผิดให้บอร์น

เมื่อไฟในตึกดับ คิริลก็จู่โจมสังหารทั้งผู้ซื้อและผู้ขายทันที และชิงแฟ้มลับของเนสกี้กับเงินล่อซื้อมาได้ทั้งหมด แพมซึ่งอยู่ในห้องบัญชาการเคลื่อนที่ได้ยินเพียงเสียงปืน แต่ไม่เห็นภาพ แพมจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ภาคสนามของซีไอเอซึ่งคุมเชิงอยู่เข้าพื้นที่ทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว และมีซีไอเอตายไป 2 คนในภารกิจนี้

คิริล มือสังหารลึกลับ

 

คิริลนำแฟ้มลับของเนสกี้ไปส่งให้ Yuri Gretkov (ยูริ) มหาเศรษฐีรัสเซียเจ้าของบริษัทค้าน้ำมัน ผู้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมารวยมหาศาลในเวลาเพียงแค่ 6 ปี หลังจากได้สัมปทานขุดน้ำมันในทะเลแคสเบี้ยนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งคิริลไปช่วงชิงแฟ้มลับของเนสกี้ตามที่ยูริจ้างนั่นเอง หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมง ยูริก็สั่งให้คิริลเดินทางไปอินเดียเพื่อสังหารบอร์น จะได้ตัดตอนภารกิจโยนความผิดอันนี้ให้จบที่การตายของบอร์น

ยูริ เกรตคอฟ ผู้สั่งการช่วงชิงแฟ้มลับเนสกี้

 

ที่รัฐกัว ประเทศอินเดีย คิริลก็ปรากฏตัวกลางเมืองกัวเพื่อสืบหาบอร์น และบังเอิญที่บอร์นเห็นคิริลพอดี บอร์นจึงรีบขับรถกลับไปรับมารีเพื่อหนีอีกครั้ง เพราะบอร์นเห็นความผิดปกติของคิริลได้ ว่าผิดแปลกจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

คิริลมาสืบหาตัวบอร์นกลางเมืองกัว

 

แต่คิริลก็ไล่ล่าบอร์นจนทัน กระทั่งรถของบอร์นและมารีขับมาถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำ คิริลซึ่งตามมาบนที่สูง ก็สไนเปอร์เข้ากลางหลังหัวมารีตายทันที รถของบอร์นจึงเสียหลักตกลงไปในแม่น้ำเมืองกัว

ขณะรถกำลังจมอยู่นั้น บอร์นพยายามยามดึงร่างมารีออกมาจากรถ แต่มารีก็ไม่หายใจแล้ว บอร์นจึงปล่อยให้ร่างของมารีอยู่ในแม่น้ำเช่นนั้น และบอร์นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย คิริลจึงคิดว่าตนเองทำภารกิจล่าสังหารบอร์นสำเร็จแล้ว

มารีตายจากการถูกคิริลไล่ล่า

 

บอร์นกลับไปที่พักในกัว และเผาทำลายหลักฐานการมีตัวตนของมารีทุกอย่าง ทั้งรูปถ่ายและพาสปอร์ต จากนั้นบอร์นก็นำเงินและอาวุธออกมาจากที่ซ่อนพร้อมทั้งสัมภาระที่จำเป็น เพื่อทำการสืบและไล่ล่าพวกที่มาฆ่ามารีกลับคืนบ้าง

ที่ฐานบัญชาการซีไอเอในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ซีไอเอพบเพียงหลักฐานเดียวในตึกที่เกิดเหตุช่วงชิงแฟ้มลับเนสกี้ นั่นคือพบลายนิ้วมือของคนที่ตัดกระแสไฟในห้องควบคุมไฟของตึก (ลายนิ้วมือบอร์นที่คิริลไปแปะไว้นั่นแหละ)

แต่เมื่อแพมให้เจ้าหน้าที่ซีไอเอตรวจในฐานข้อมูลบุคคลเยอรมัน ก็ไม่พบ เจ้าหน้าที่จึงจะตรวจในฐานข้อมูลของซีไอเอ และแพมก็เจอตอ เมื่อลายนิ้วมือไปตรงกับสายลับในโปรเจคเทรดสโตน และแพมไม่มีสิทธิ์เข้าถึง แพมจึงออกเดินทางไปแลงลีย์ทันที เพื่อถามผ.อ.ฝ่ายปฏิบัติการซีไอเอตรงๆเลยว่า เทรดสโตน คืออะไร

ที่กรุงมอสโคว์ รัสเซีย คิริลกลับมารายงานภารกิจสังหารบอร์นกับยูริเพื่อรับเงินค่าจ้าง ยูริจึงสั่งให้คิริลกบดานไปซักหนึ่งเดือน และรอรับคำสั่งภารกิจใหม่ต่อไป

ยูริ กับ คิริล

 

ที่แลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา แพมมาพบกับ Martin Marshall (มาร์ติน มาร์แชล) ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการลับของซีไอเอ เพื่อขอเข้าถึงข้อมูลโปรเจคเทรดสโตน เพราะมือสังหารที่ช่วงชิงแฟ้มลับของเนสกี้ไปนั้น คือมือสังหารที่อยู่ในโปรเจคนี้ นั่นเพราะแพมพบลายนิ้วมือที่ว่า ในที่เกิดเหตุ

มาร์ติน มาร์แชล

 

มาร์แชลจึงอนุญาติแพมให้เข้าถึงข้อมูลโปรเจคเทรดสโตนได้ และมีชื่อมากมายปรากฎขึ้นในข้อมูลลับระดับ 5 อาทิเช่นชื่อของ เจสัน บอร์น เจ้าของลายนิ้วมือในเบอร์ลินที่แพมพบ ซึ่งเป็นสายลับที่หายสาปสูญไปแล้ว 2 ปี ชื่อของหัวหน้าปฎิบัติการที่ล้มเหลวของบอร์น อเล็กซานเดอร์ คองกลิ้น ผู้ล่วงลับ  และชื่อของ วอร์ด แอปบอต ผู้ก่อตั้งโปรเจคเทรดสโตน แพมจึงเรียกแอปบอตมาสอบสวนทันที

แอปบอตนั้นแข็งขืนกับแพมไม่ยอมบอกตอนแรก แต่เมื่อแอปบอตรู้ว่าผ.อ.มาร์แชลอนุญาติ แอปบอตจึงบอกแพม ว่าเทรดสโตนคือโปรเจคผลิตมือสังหาร และถูกยุบไปแล้ว แพมจึงบอกแอปบอตว่า มือสังหารของเทรดสโตนที่ชื่อ เจสัน บอร์น โผล่มาอีกครั้ง และช่วงชิงแฟ้มลับเนสกี้ไป

แพมและแอปบอต เจ้าหน้าที่อาวุโสของซีไอเอทั้งคู่

 

จังหวะนั้นเอง ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของฝ่ายปฏิบัติการซีไอเอซีไอเอก็พร้อมประชุม และมาร์แชลก็เรียกทั้งแพมและแอปบอตเข้าประชุม เพื่อให้แพมสรุปภารกิจล่อซื้อในเยอรมัน ว่าเกิดอะไรขึ้น?

แพมสรุปเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้ที่ประชุมฟังว่า เมื่อ 7 ปีก่อน งบของซีไอเอหายไปยี่สิบล้านเหรียญระหว่างที่เงินกำลังโอนผ่านมอสโคว์ จากนั้นซีไอเอก็ได้รับการติดต่อจาก วลาดิเมียร์ เนสกี้ นักการเมืองของรัสเซีย ว่ามีซีไอเอยักยอกเงินก้อนนี้ ซึ่งระหว่างที่ซีไอเอกำลังจะนัดพบกับเนสกี้ที่เบอร์ลินเพื่อสืบหาตัวซีไอเอคนนั้น เนสกี้กลับถูกเมียตนเองฆ่าตายในโรงแรมที่พัก และเมียเนสกี้ก็ยิงตัวเองตายตามไป

วลาดิเมียร์ เนสกี้

 

เรื่องที่มีซีไอเอยักยอกเงินไปยี่สิบล้านนี้ ถึงทางตันและเงียบไป 7 ปี จนกระทั่งหนึ่งเดือนที่แล้ว ชาวรัสเซียที่อาศัยในเบอร์ลินอ้างว่า เค้ามีข้อมูลการฆาตกรรมเนสกี้ แต่ปฏิบัติการล่อซื้อแฟ้มลับเนสกี้กลับพังเพราะมือสังหารผู้หนึ่ง และบอร์นซึ่งเป็นมือสังหารในโปรเจคเทรดสโตนของซีไอเอ คือผู้ลงมือ

แพมนั้นมีทฤษฎีว่า บอร์นและคองกลิ้นมีส่วนพัวพันกับเงินยี่สิบล้านของซีไอเอที่หายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และเมื่อเรื่องนี้กำลังจะแดงขึ้นมา บอร์นจึงโผล่ออกมาจากเงามืด และทำลายแผนล่อซื้อของแพมในเบอร์ลินนั่นเอง

ทันใดนั้น แดนนี่ ซอร์น ผู้ช่วยของแอปบอตก็มาบอกที่ประชุมว่า บอร์นใช้พาสปอร์ตตัวเองเข้าเมืองเนเปิ้ลในประเทศอิตาลีทื่อๆ ไม่ปกปิดตัวตนซักนิด (บอร์นตั้งใจให้ซีไอเอรู้) แพมจึงสั่งให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอประจำพื้นที่กักตัวบอร์นเอาไว้ก่อน

แดนนี่ ซอร์น อดีตผู้ช่วยคองกลิ้น และตอนนี้เป็นผู้ช่วยแอปบอต

 

ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเนเปิ้ล ประเทศอิตาลี เจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯ กำลังสอบสวนบอร์นที่นั่งนิ่งเงียบ (ยังไม่รู้ว่าบอร์นอันตราย เลยสอบสวนชิลๆ) ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯก็ดังขึ้น และปลายสายคือซีไอเอประจำพื้นที่อิตาลีนั่นเอง ซีไอเอแจ้งว่าต้องจับตัวบอร์นเอาไว้ทันที เพราะบอร์นคือบุคคลอันตราย

เจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯจึงรีบชักปืนเพื่อจะจับบอร์นใส่กุญแจมือ แต่บอร์นรอจังหวะนี้อยู่แล้ว บอร์นจึงเล่นงานเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเฝ้าบอร์น สลบลงไปกองทั้งคู่ เพราะบอร์นต้องการดักฟังจากโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯไปถึงซีไอเอ

ซึ่งทั้งหมดนี้คือแผนของบอร์นตั้งแต่แรก บอร์นรีบหนีออกไปจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเนเปิ้ลไปนั่งรอในรถ เพื่อรอให้ซีไอเอโทรกลับมาหาเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯอีกครั้ง

บอร์นกำลังติดเครื่องดังฟังโดยถ่ายโอนสัญญาณซิม

 

ที่แลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ระหว่างที่แพมรอให้ซีไอเอในอิตาลีเดินทางไปจับบอร์นที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเนเปิ้ล แพมจึงต่อสายตรงหาเจ้าหน้าที่กงสุลให้รายงานเหตุการณ์ แพมจึงรู้ว่าบอร์นหนีไปแล้ว และแพมก็วางสายไป

ที่ลานจอดรถด่านตรวจคนเข้าเมืองเนเปิ้ล ประเทศอิตาลี บอร์นจึงรู้ว่าคนคุมภารกิจไล่ล่าตนเองชื่อ พาเมล่า แลนดี้ (แพม) และบอร์นก็แปลกใจเมื่อได้ยินแพมกล่าวหาว่า บอร์นคือผู้สังหารซีไอเอสองคนในเบอร์ลิน

ที่แลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา มาร์แชลจึงลั่นคำสั่งจับตายบอร์นทันที ก่อนที่ทุกอย่างจะเละเทะมากกว่านี้ และสั่งให้แพมนำปฏิบัติการไล่ล่าสังหารบอร์น โดยแอปบอตก็ต้องไปช่วยแพมนำปฏิบัติการจับตายบอร์นครั้งนี้ด้วย

ปฎิบัติการจับตาย เจสัน บอร์น

 

ที่เมืองเนเปิ้ล ประเทศอิตาลี และในความทรงจำที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของบอร์นนั้น บอร์นก็เห็นหน้าคองกลิ้นสั่งงานภารกิจแรก และหน้าของเนสกี้เป้าหมายภารกิจที่ตนฆ่า (เนสกี้คือภารกิจลอบสังหารของบอร์นคนแรกในฐานะสายลับของเทรดสโตนนั่นเอง)

ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ นิกกี้ พาสัน ซีไอเอสาวซึ่งมาแฝงตัวอยู่ที่นี่ ก็ได้รับการติดต่อจากแอปบอตกับแพม ซึ่งแพมต้องการรู้เรื่องราวของบอร์นให้มากขึ้น และนิกกี้คือคนสุดท้ายในคืนที่คองกลิ้นตาย แถมบอร์นยังไว้ชีวิตนิกกี้ด้วย แพมจึงพานิกกี้ขึ้นเครื่องบินไปเบอร์ลินเพื่อร่วมทีมภารกิจไล่ล่าบอร์นครั้งนี้อีกคน

นิกกี้ พาสัน กลับเข้ามาในวังวนอีกครั้ง

 

ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน บอร์นเดินทางมาหา Jarda สายลับของเทรดสโตนอีกคนที่หลงเหลืออยู่ บอร์นต้องการพบคองกลิ้น และบอร์นก็เพิ่งรู้จากจาร์ด้าตอนนี้เอง ว่าคองกลิ้นนั้นถูกฆ่าในปารีสคืนเดียวกับที่บอร์นไปพบเมื่อสองปีที่แล้ว พร้อมกับที่รู้ว่าเทรดสโตนก็ถูกสั่งปิดไปแล้วเช่นกัน

จาร์ด้า สายลับประจำพื้นที่มิวนิค เยอรมัน

 

จาร์ด้านั้นแอบเปิดสัญญาณเตือนไปให้สายลับซีไอเอในพื้นที่แล้วตั้งแต่เข้าบ้านมา และบอร์นก็พึ่งรู้ตัว เมื่อบอร์นเผลอ จาร์ด้าจึงจู่โจมบอร์น ทั้งคู่สู้กันอย่างหนักหน่วง สุดท้ายบอร์นก็ต้องฆ่าจาร์ด้าทั้งที่ตอนแรกบอร์นไม่กะจะฆ่า

ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน บอร์นใช้เทคนิคสายลับที่ถูกฝึกฝนมา กระทั่งรู้ว่าแพมพักอยู่ที่โรงแรมไหนและห้องเบอร์อะไร ทำให้บอร์นแอบสืบความเป็นไปทุกอย่างของแพม สะกดรอยตามแพม จนรู้ฐานปฏิบัติการซีไอเอในเบอร์ลิน

บอร์นไปซุ่มที่ตึกตรงข้ามฐานปฏิบัติการซีไอเอในเบอร์ลิน และโทรหาแพมโดยตรง บอร์นเห็นนิกกี้อยู่กับแพมในห้องด้วย บอร์นจึงขอนัดพบนิกกี้และจะยอมมอบตัว บอร์นบอกว่าหาตัวนิกกี้ง่ายๆ เพราะนิกกี้ยืนอยู่ข้างๆแพม เป็นการบอกกลายๆให้ทุกคนรู้ว่า เค้าจับตาดูอยู่ ก่อนที่บอร์นจะวางสายไป

ทุกคนรู้ตัวว่าถูกบอร์นจับตามอง

 

แอปบอตนั้นต้องการจับตายบอร์นลูกเดียว และขู่ว่านิกกี้อาจจะเป็นศพต่อไป แอปบอตอยากส่งหน่วยซุ่มยิงเข้าพื้นที่นัดพบ เพื่อสังหารบอร์นทันทีที่บอร์นโผล่หน้ามา แต่แพมนั้นเห็นว่ามีเพียงบอร์นคนเดียวเท่านั้นที่จะคลี่คลายคดีของเธอได้ ทำให้แพมและแอปบอตขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

ซึ่งที่สุดแล้วแพมก็ตัดสินใจส่งนิกกี้ไปหาบอร์น แต่ก็ตัดสินใจส่งหน่วยซุ่มยิงเข้าพื้นที่นัดพบด้วย และอนุญาติให้สังหารบอร์นทันทีเมื่อเห็นท่าไม่ดี

บอร์นพานิกกี้มาคุยกันตัวต่อตัวโดยปลอดจากซีไอเอจนได้ บอร์นอยากรู้ว่าแพมต้องการอะไร แล้วทำไมจึงใส่ร้ายตนเองว่าเป็นคนฆ่าซีไอเอสองคนในเบอร์ลิน เพราะในวันนั้นบอร์นอยู่อินเดีย กำลังกอดศพคนรักของตนเองที่กำลังจมน้ำ

ซึ่งการสนทนาทั้งหมด แพมกับแอปบอตก็ได้ยิน ทำให้แพมเริ่มตะหงิดใจ ก่อนที่บอร์นจะพานิกกี้ไปจุดอับสัญญาณ และซีไอเอก็ไม่ได้ยินการสนทนาอีกเลย

นิกกี้กลัวว่าบอร์นจะฆ่าเธอ

 

ช่วงอยู่ในจุดอับสัญญาณนี้เอง นิกกี้จึงบอกบอร์นว่า ที่บอร์นถูกกล่าวหานั้น เรื่องมาจากการที่แพมนั้นต้องการข้อมูลของนักการเมืองรัสเซียคนนึง บอร์นจำได้ในวินาทีนั้นเอง ว่านักการเมืองรัสเซียคนนั้นชื่อ วลาดิเมียร์ เนสกี้

นิกกี้ยังเล่าต่อไปอีกว่า ในภารกิจล่อซื้อแฟ้มเนสกี้ในเบอร์ลินนั้น ก็มีมือสังหารโผล่มาฆ่าผู้ขายและซีไอเอที่ไปล่อซื้อ แฟ้มข้อมูลของเนสกี้ก็หายไป และบอร์นคือผู้ต้องหาในเรื่องทั้งหมด

บอร์นยังได้ข้อมูลใหม่มาอีกว่า คองกลิ้นคือลูกน้องแอปบอต (บอร์นก็เพิ่งได้ยินชื่อแอปบอตครั้งแรกเช่นกัน) และแอปบอตคือผู้ก่อตั้งโปรเจคเทรดสโตน หลังจากนั้นบอร์นก็ทิ้งนิกกี้ไว้ที่นั่นโดยไม่ทำอันตราย และกลับไปสืบเรื่องเนสกี้อย่างละเอียด

บอร์นนั่งเช็คประวัติเนสกี้ในอินเตอร์เน็ต

 

ที่ฐานปฏิบัติการซีไอเอในเบอร์ลิน แอปบอตโวยวายใหญ่โต ว่าควรจะฆ่าบอร์น เพราะบอร์นควบคุมไม่อยู่แล้ว แต่แพมเริ่มสงสัยว่าบอร์นอาจจะไม่เกี่ยวกับปฏิบัติการล่อซื้อแฟ้มเนสกี้ก็เป็นได้ และแพมยังสั่งให้ลูกน้องสืบเรื่องคนรักของบอร์นที่ตายในอินเดียด้วย

แดเนี่ยล พาแอปบอตออกจากฐานปฏิบัติการไปที่ตึกที่เกิดเหตุการล่อซื้อแฟ้มเนสกี้ (ซึ่งแพมก็เห็นทั้งคู่ออกไปด้วยกัน)

แดเนี่ยลพาแอปบอตลงไปที่ห้องควบคุมระบบไฟของตึก เพราะแดเนี่ยลพบข้อสงสัยบางอย่างว่า บอร์นอาจจะไม่เกี่ยวกับการล่อซื้อครั้งนั้น และบอร์นถูกจัดฉาก มีบางคนอยู่เบื้องหลังเพื่อโยนความผิดให้บอร์นกับคองกลิ้น แอปบอตจึงสังหารแดเนี่ยลทันที โทษฐานที่ทำตัวรู้มาก

วอร์ด แอปบอต ฆ่า แดเนี่ยล ซอร์น และทิ้งศพไว้อย่างนั้น

 

บอร์นแกะรอยความทรงจำของตนเองในวันที่สังหารเนสกี้ที่เบอร์ลินเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จนไปถึงห้องพักของเนสกี้ในโรงแรมหรูกลางกรุงเบอร์ลิน และบอร์นก็จำครอบครัวของเนสกี้ได้ทุกคน ทั้งลูกสาวของเนสกี้ และเมียของเนสกี้ รวมถึงที่บอร์นจัดฉากว่าเมียเนสกี้เป็นผู้ลงมือฆ่าสามีตนเอง และยิงตัวตายตามไป

แต่บอร์นนั้นถูกหมายจับไปทั่วเยอรมันในตอนนี้ ทำให้บอร์นต้องหนีพวกตำรวจเยอรมันไปก่อน เมื่อเรื่องถึงหูแพมว่าบอร์นโผล่ไปที่โรงแรมแห่งนึงโดยไม่มีสาเหตุ แพมจึงรีบมาที่โรงแรมที่บอร์นเพิ่งหนีออกไป และจำได้ว่าห้องที่บอร์นบุกเข้ามานั้น คือห้องที่เนสกี้ถูกเมียฆ่าตายเมื่อ 7 ปีก่อน และแพมเริ่มไม่เชื่อแล้วว่า เนสกี้ถูกเมียตัวเองฆ่าจริงๆ (บอร์นจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น)

รูปถ่ายของครอบครัวเนสกี้

 

ทันใดนั้นซีไอเอก็มารายงานแพมว่า พบศพของ แดเนี่ยล ซอร์น แพมจึงสั่งให้ลูกน้องโทรไปบอกแอปบอตให้อยู่ในห้องที่โรงแรมห้ามออกไปไหน (แพมกลัวว่าแอปบอตจะถูกเก็บอีกคน) แพมจะรีบตามไปพบแอปบอตทันที

ด้านแอปบอตที่อยู่ในห้องพักที่โรงแรมนั้น ก็รีบโทรหายูริเพื่อให้รีบเก็บบอร์น แตยูริก็บอกว่า ตอนนั้นเราแบ่งเงินกันร่ำรวยกันทั้งคู่ และตอนนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ก่อนที่ยูริจะตัดสายไป

เมื่อแอปบอตวางโทรศัพท์ แอปบอตก็เพิ่งรู้ตัวว่าบอร์นอยู่ในห้องและได้ยินทุกอย่างแล้ว แต่บอร์นก็ไม่ฆ่าแอปบอต เพราะบอร์นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว นั่นคือคำสารภาพความจริงทุกอย่างจากปากแอปบอต (บอร์นอัดเสียงไว้ทั้งหมด)

เมื่อแพมมาถึงห้องแอปบอต แอปบอตก็เอาปืนขึ้นมาถือในมือเตรียมพร้อมยิง เพราะรู้ตัวว่าคงไม่รอดความผิดเป็นแน่ แพมรู้ได้ในทันทีว่าแอปบอตฆ่าแดเนี่ยลผู้ช่วยของตัวเอง และแอปบอตก็ตัดสินใจยิงตัวตาย

แอปบอตถึงทางตันของชีวิต

 

เมื่อแพมกลับถึงฐานปฏิบัติการ แพมก็ได้รับเทปอัดเสียงจากบอร์นที่แอปบอตสารภาพ ซึ่งบอร์นส่งมาให้แพมที่ห้องในโรงแรมเลยทีเดียว และซีไอเอก็จับภาพได้ ว่าบอร์นกำลังเดินทางไปมอสโคว์ (บอร์นจะไปคิดบัญชีกับยูริและคิริล)

ที่กรุงมอสโคว์ รัสเซีย บอร์นกับคิริลไล่ล่ากันบนท้องถนนของมอสโคว์อย่างดุเดือด ทำให้วินาศสันตะโรพอสมควร ซึ่งที่สุดแล้วคิริลก็ตายจากการไล่ล่าบนท้องถนนครั้งนี้ และบอร์นก็เดินหนีออกจากรถไปดื้อๆ ท่ามกลางสายตาชาวรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทางด้านยูริก็โดนตำรวจรัสเซียจับจากข้อหายักยอกเงินซีไอเอเมื่อ 7 ปีก่อน

คิริลตายเลือดท่วมคาพวงมาลัย

 

หลายวันต่อมา.. บอร์นสืบหาตัวของ Irena Neski ลูกสาวของ Vladimir Neski ชายคนที่เป็นเป้าสังหารของบอร์นคนแรกในโปรเจคเทรดสโตน และบอกความจริงกับไอเรน่าทุกอย่าง ว่าแม่ของเธอไม่ใช่คนฆ่าพ่อของเธอ พ่อแม่ของเธอถูกบอร์นฆ่าและจัดฉากให้เหมือนแม่ฆ่าพ่อ บอร์นขอโทษสำหรับทุกอย่าง แล้วบอร์นก็จากไป

ไอเรน่า เนสกี้

 

หลังจากที่บอร์นปะทะกับคิริลที่มอสโคว์ แต่บอร์นก็ยังเห็นภาพความทรงจำในอดีตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในสมองบอร์นครั้งล่าสุดนี้ มีใบหน้าของคนที่พาบอร์นเข้าสู่โปรเจคเทรดสโตน และใบหน้าของหมอที่ทดลองเปลี่ยนพฤติกรรมของบอร์น เพื่อเตรียมพร้อมบอร์นให้เป็นสายลับ

บอร์นจึงมีประเด็นใหม่ต้องสืบต่อไป นั่นคือค้นหาตัวตนที่แท้จริงว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน หลังจากที่บอร์นล้มเลิกความคิดนี้ไปตั้งแต่พบมารี (ซึ่งตอนนี้มารีก็ตายไปแล้ว)

 

3 The Bourne Ultimatum

 

ที่แลงลีย์ เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ ผ่านมา6 สัปดาห์ที่แอปบอตถูกเปิดโปงและชิงฆ่าตัวตายหนีความผิด Ezra Kramer ผู้อำนวยการใหญ่แห่งซีไอเอ ก็เรียกแพมเข้าไปสรุปรายงานว่า มันเกิดอะไรขึ้น และเออร์ซ่าก็ตัดสินใจว่า บอร์นยังคงเป็นภัยกับซีไอเอ และต้องหาตัวบอร์นให้ได้ ในคืนนั้นเอง เออร์ซ่าก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องซีไอเอในลอนดอน เรื่องนักข่าวอังกฤษที่ชื่อ Simon Ross (ไซมอน รอส)

เออร์ซ่า เครเมอร์ ผู้อำนวยการซีไอเอ

 

วันที่ 1.. ที่แมรี่แลนด์ สหรัฐฯ เวลาตีสอง เออร์ซ่ารีบมาแมรี่แลนด์กลางดึกเพื่อพบพลเรือเอก Mark Turso (มาร์ค ทัวโซ่) เสนาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อบอกว่า นักข่าวหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนของอังกฤษที่ชื่อว่า ไซม่อน รอส ลงข่าวทฤษฎีเรื่องราวของบอร์นและการตายของมารี ซีไอเอจึงตามประกบรอสเพื่อดักฟังโทรศัพท์ตั้งแต่นั้น เพราะรอสเข้าข่ายที่จะเป็นภัยกับข้อมูลลับของซีไอเอ

นายพล มาร์ค ทัวโซ่

 

ซีไอเอประมวลผลว่า รอสอาจได้รับการติดต่อจากบุคคลลึกลับขายข้อมูลบางอย่างให้ ทำให้รอสเขียนข่าวค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาก และรอสอาจจะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโปรเจคแบล็คไบอาร์ด้วย สุ่มเสี่ยงมากที่โปรเจค แบล็คไบอาร์ ของซีไอเอ และโปรเจค เอ้าท์คัม ของกลาโหม จะถูกเปิดโปงเพราะนักข่าวคนนี้

(แบล็คไบอาร์และเทรดสโตนสังกัดซีไอเอ ส่วนเอาท์คัมนั้นสังกัดกลาโหม ซึ่งทั้งเทรดสโตนและเอาท์คัมมาจากแนวคิดของบุคคลกลุ่มเดียวกัน และ ยังมีอีก 2 โปรเจคที่เปิดเผยในช่วงนี้ คือโปรเจค LARX และโปรเจค EMERALD LAKE)

แฟ้มโปรเจค LARX และแฟ้มโปรเจค EMERALD LAKE

 

ที่เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ เวลาตีสี่ นายพลทัวโซ่ก็ร้อนรนกับเรื่องนี้เช่นกัน จึงรีบบึ่งไปหาพันเอก Eric Byer (ริค ไบเออร์) ผู้ดูแลโปรเจคเอาท์คัมตั้งแต่ตีสี่ เพื่อสั่งให้ผู้พันไบเออร์ทำทุกวิถึทางให้หาหนทางป้องกันเอาท์คัม เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเริ่มจะควบคุมอะไรอะไรไม่ได้อีกแล้ว ทั้งการที่บอร์นยังไม่ตายและปรากฏตัวเมื่อ 6 สัปดาห์ก่อน และข้อมูลโปรเจคเทรดสโตนรั่วไหล

ที่วอชิงตัน ดีซี เช้ามืด ผู้พันไบเออร์จึงเรียกทีมมาที่ศูนย์วิจัยแห่งชาติแอสเซย์กรุ๊ปโดยด่วน เพราะผู้พันไบเออร์ต้องการรู้ว่า โปรเจคเทรดสโตนและโปรเจคแบล็คไบอาร์ของซีไอเอนั้น มีอะไรยังไงและใครเอี่ยวบ้าง เพื่อหาทางป้องกันการกระทบกระเทือนกับโปรเจคเอาท์คัมของกระทรวงกลาโหมให้เบาที่สุด

ผู้พัน ริค ไบเออร์

 

ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี ในเวลาช่วงสายๆ หัวหน้าซีไอเอประจำมาดริด Neal Daniels  นีล ได้นัดพบกับรอสอีกครั้ง (ซึ่งนีลนี่ละที่ให้ข้อมูลรอสตั้งแต่แรก) รอสอยากรู้ความเชื่อมโยงของบอร์น การตายของมารี การไล่ล่าบอร์นในมอสโคว์ ว่าจริงๆแล้วทุกอย่างเกี่ยวข้องกันยังไง นีลจึงบอกรอสเรื่องโปรเจคเทรดสโตน แต่โปรเจคแบล็คไบอาร์ นั้นนีลยังไม่ทันบอกมากนัก และตัดบทสนทนาไปซะก่อน

นีล แดเนี่ยล และไซม่อน รอส

 

ที่ปารีส ฝรั่งเศส ในเวลาช่วงสายๆวันที่หนึ่ง บอร์นเดินทางมาพบกับพี่ชายของมารีที่ปารีส เพื่อแจ้งข่าวว่ามารีเสียชีวิตแล้วด้วยการถูกยิง และบอร์นก็จัดการคนที่สังหารมารีแล้วเช่นกัน แต่บอร์นยังไม่หยุดแค่นั้น บอร์นจะถอนรากถอนโคนกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด และบอร์นก็กลับโดยนั่งรถไฟจากปารีสไปลอนดอน

ที่ลอนดอน อังกฤษ ในเวลาช่วงเที่ยงวันที่หนึ่ง หลังจากไซม่อนได้ข้อมูลของบอร์นมาจากนีล และนั่งเครื่องบินกลับมาถึงลอนดอน ไซม่อนก็รีบโทรบอกบก.สำนักพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน ว่าตนเองจะลงข่าวเจาะลึกเรื่องบอร์นในหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้น รอสยังจะสืบต่อไปให้ถึงโปรเจคแบล็คไบอาร์ด้วยว่ามันคืออะไร เพราะท่าทางคนขายข่าวกลัวนักกลัวหนา จากนั้นไซม่อนก็วางสายไป แต่การสนทนานี้ก็ไม่รอดจากการดักฟังของซีไอเอ

ซีไอเอในลอนดอนดักฟังข้อมูลรอส

 

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ณ สำนักงานใหญ่ฝ่ายสอดแนมของซีไอเอ เจ้าหน้าที่อาวุโส Noah Vosen (โนอาห์ โวเซ่น) ผู้บัญชาการฝ่ายสอดแนมได้รับแจ้งว่า จากการดักฟังโทรศัพท์รอสนั้น รอสได้เอ่ยคำต้องห้ามขึ้นมา คำนั้นคือ โปรเจคแบล็คไบอาร์

โนอาห์นั้นจึงต้องการรู้เป็นอย่างยิ่ง ว่าแหล่งข่าวของไซม่อนคือใคร โนอาห์จึงสั่งให้ซีไอเอในอังกฤษคุ้ยเรื่องส่วนตัวของไซม่อนให้ลึกที่สุด (โนอาห์ โวเซ่น ยังเป็นผู้บัญชาการภารกิจภาคสนามในโปรเจคแบล็คไบอาร์อีกด้วย และ เออร์ซ่า เครเมอร์ นั้นก็รู้เห็นทุกอย่าง เพราะเออร์ซ่าเป็นผู้อนุมัติให้กำเนิดแบล็คไบอาร์นั่นเอง)

โนอาห์ โวเซ่น

 

ที่ขบวนรถไฟ ปารีส-ลอนดอน ช่วงบ่ายวันที่หนึ่ง หลังจากที่บอร์นกลับมาจากไปพบพี่ชายมารี และกำลังอยู่บนรถไฟ บอร์นก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน และเห็นว่านักข่าวชื่อ ไซม่อน รอส ลงข่าวของตนและมารีละเอียดมาก ยังกับได้ข้อมูลจากวงในมา บอร์นจึงต้องการรู้ตัวของผู้ให้ข้อมูลรอส เพราะคนคนนั้นอาจจะช่วยให้บอร์นรู้ความจริงเกี่ยวกับตนเองได้..

บอร์นจึงโทรหารอส เพื่อนัดพบบริเวณสถานีรถไฟวอเตอร์ลูในอีกสามสิบนาที รอสนั้นจึงรีบออกจากสำนักพิมพ์เพื่อไปพบบอร์นตามนัด เพราะอยากได้ข่าวจากบอร์นโดยตรง ซึ่งตอนนี้รอสอยู่ในสายตาโนอาห์ทุกฝีก้าวแล้ว (ห้องปฎิบัติการสอดแนมของโนอาห์อยู่นิวยอร์ค)

โนอาห์ โวเซ่น และ Ray Wills (เรย์เป็นสายข่าวให้พันเอกไบเออร์ด้วย)

 

หลังจากรอสรับโทรศัพท์แล้ว จู่ๆรอสก็ผลุนผลันออกไปจากที่ทำงานแบบผิดปกติ โนอาห์นั้นจึงสั่งให้ซีไอเอในพื้นที่สะกดรอยตามรอส และตามรอสไปจนถึงสถานีรถไฟวอเตอร์ลูเช่นกัน โนอาห์เห็นท่าไม่ดี จึงสั่งให้เรย์ตามตัว Paz (แปซ) นักฆ่าในโปรเจคแบล็คไบอาร์ตามไปที่วอเตอร์ลูอีกคน

ที่ลอนดอน อังกฤษ ช่วงบ่ายวันที่หนึ่ง ตอนแรกโนอาห์ไม่รู้ว่าบอร์นก็อยู่ในพื้นที่สถานีรถไฟวอเตอร์ลูด้วย แต่เมื่อโนอาห์เห็นทางกล้องวงจรปิดหลังร้านสะดวกซื้อที่บอร์นนำทางให้รอสไปพบ โนอาห์จึงคิดว่าบอร์นนี่ละ คือคนให้ข้อมูลกับรอส โนอาห์จึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด และสั่งให้แปซเก็บทั้งรอสและบอร์นซะ เรื่องจะได้ไม่บานปลาย

แปซ นักฆ่าของแบล็คไบเออร์ประจำลอนดอน อังกฤษ

 

และรอสก็ถูกแปซที่ซุ่มอยู่หลังป้ายโฆษณา สไนเปอร์เข้ากลางหน้าผากเต็มๆตายทันที ท่ามกลางผู้คนมากมายกลางสถานีรถไฟ ส่วนบอร์นก็ได้บันทึกข้อมูลดิบของรอสมาแล้ว บอร์นหนีแปซไปได้ และบอร์นกับแปซก็เห็นหน้ากันแล้วตอนนี้ ซึ่งเมื่อบอร์นมารวบรวมข้อมูลทั้งหมด บอร์นก็เริ่มแกะรอยหาตัวสายข่าวของรอสตามข้อมูลดิบที่ทราบ

ผู้พันไบเออร์ดูข่าวด่วนเรื่องรอสถูกยิง

 

ที่เซฟเฮ้าส์นีล ช่วงหัวค่ำวันที่หนึ่ง ด้านทาง นีล แดเนี่ยล เมื่อเห็นข่าวว่ารอสถูกเก็บไปแล้ว นีลก็รีบเก็บของจำเป็นทุกอย่าง รวมถึงแฟ้มลับสุดยอดโปรเจคแบล็คไบอาร์จากตู้เซฟ และรีบหนีออกจากเซฟเฮ้าส์ตนเองทันที

วันที่ 2..

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงเช้าวันที่สอง ผู้อำนวยการซีไอเอ เออร์ซ่า เครเมอร์ สายตรงสั่งให้ โนอาห์ โวเซ่นไปเชิญให้พาเมล่า แลนดี้ กลับมาร่วมสั่งการปฏิบัติการเฉพาะกิจไล่ล่าบอร์น เพราะโนอาห์คิดว่าบอนคือสายข่าวของรอส และแพมคือผู้ที่เคยปะทะกับบอร์นมาแล้ว

แพมถูกลากเข้ามาในวังวนอีกครั้ง

 

ที่วอชิงตัน ดีซี ช่วงบ่ายวันที่สอง หลังจากผู้พันไบเออร์รวบรวมข้อมูลทุกอย่างแล้ว จึงไปพบคลิปในยูทูปคลิปหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในคลิปนั้นคืองานเลี้ยงแห่งนึง ปรากฏภาพของ ผ.อ.หน่วยแพทย์ของเทรดสโตน และ ผ.อ.หน่วยแพทย์ของเอ้าท์คัม อยู่ด้วยกันในงานเลี้ยง ซึ่งดูสนิทชิดเชื้อกันดี ผู้พันไบเออร์จึงไปพบกับนายพลทัวโซ่ และ ทอเรนซ์ วอร์ด เจ้าของบริษัท Sterisyn-Morlanta ที่ปรึกษาโปรเจคเอ้าท์คัม และเจ้าของแลปทดลองเอ้าท์คัม

สองนายแพทย์ผู้สร้างสุดยอดนักฆ่ามากมาย

 

ผู้พันไบเออร์มีความเห็นว่า ถ้าบอร์นลากไส้เทรดสโตน และสาวลึกไปถึงตัวผ.อ.หน่วยแพทย์ของเทรดสโตน และเมื่อทุกอย่างถูกนักข่าวแฉ ผ.อ.หน่วยแพทย์เอ้าท์คัมก็ต้องโดนลากมาแฉด้วย

วิธีป้องกันคือ ปิดเอาท์คัมซะ กำจัดสายลับผู้ถูกทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ของเอาท์คัม และหลักฐานในแลปฯที่เกี่ยวข้องกับทั้งหมด แต่ข้อมูลงานวิจัยของโปรเจค LARX ยังต้องเก็บไว้อยู่ (ต้นแบบเอาท์คัม) เพื่อนำออกมาทำใหม่ในภายหน้า หลังจากทุกอย่างเงียบลงแล้ว

นายพลทัวโซ่และเทอรี่เครียดจัด

 

 

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงเย็นวันที่สอง ระหว่างการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังของรอส ซีไอเอก็ได้ข้อมูลว่า รอสซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับตูริน-ลอนดอน รอสเดินทางไปตูรินช่วงเช้า และกลับลอนดอนตอนเที่ยง ไม่ถึงชั่วโมงบอร์นก็โทรหารอสเพื่อนัดพบที่สถานีรถไฟวอเตอร์ลู

แพมจึงเสนอความเป็นได้ว่า สายข่าวคือคนอื่น ไม่ใช่บอร์น และคนผู้นั้นต้องเป็นซีไอเอระดับสูงพอสมควร จึงรู้ข้อมูลลึกขนาดนั้น แพมแนะนำให้เช็คโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ซีไอเอในยุโรป ว่ามีใครปิดโทรศัพท์ช่วงเช้าวันที่รอสไปตูรินหรือไม่ ซึ่งก็มีเพียงแค่สามคนที่ปิดมือถือช่วงนั้น

เมื่อมาเทียบกับโน๊ตที่เขียนว่า N.D. ซึ่งพบในห้องรอส จึงเหลือเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ต้องสงสัยคือ หัวหน้าซีไอเอประจำมาดริด Neal Daniels โนอาห์จึงสั่งซีไอเอที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เซฟเฮ้าส์ของนีลทุกคน พกอาวุธหนักเข้าไปจับนีลทันที เพราะมีความเป็นไปได้ว่า บอร์นก็จะไปหานีลเช่นกัน

ที่เซฟเฮ้าส์นีล ช่วงหัวค่ำวันที่สอง บอร์นมาถึงเซฟเฮ้าส์ของนีลก่อนซีไอเอเพียงแป็บเดียว แต่ก็นานเพียงพอที่บอร์นจะเห็นรูปถ่ายของนีลกับคนคุ้นหน้าอีกคน ทันทีที่บอร์นเห็นหน้าคนทั้งสองในรูป ความทรงจำตอนฝึกในโปรเจคเทรดสโตนก็กลับมาอีกครั้ง และคนทั้งสองในรูปก็อยู่กับบอร์นในช่วงเวลานั้นด้วย ทันใดนั้นบอร์นก็เห็นซีไอเอมาถึงที่นี่เช่นกัน บอร์นเห็นทางกล้องวงจรปิดเซฟเฮ้าส์นั่นเอง

รูปถ่ายของนีลกับผ.อ.หน่วยแพทย์เทรดสโตน ดร.อัลเบิร์ต เฮิร์ซ

 

เมื่อซีไอเอมาถึงบริเวณเซฟเฮ้าส์ ซีไอเอที่เหลือคุมพื้นที่รอบนอก และเข้าไปที่เซฟเฮ้าส์นีลแค่สองคน ซึ่งก็โดนบอร์นซัดสลบไปทั้งคู่ตามระเบียบ โนอาห์จึงส่งที่เหลือเข้าไป

และซีไอเอที่เข้าไปอีกคนก็คือ นิกกี้ พาร์สัน เมื่อบอร์นเห็นนิกกี้ บอร์นจึงถามนิกกี้ว่ารู้อะไรบ้างเรื่องนีลและโปรเจคแบล็คไบอาร์ นิกกี้อาสาจะช่วยบอร์นตามหานีล นิกกี้รู้ว่านีลจะไปแทนเจียประเทศโมรอคโค ทั้งสองจึงรีบหนีซีไอเอที่คุมอยู่พื้นที่รอบนอกออกไปได้สำเร็จ ซึ่งแพมก็ยืนยันกับโนอาห์ว่านิกกี้ไม่เป็นภัย เพราะนิกกี้ช่วยแพมล่าบอร์นเมื่อ 6 อาทิตย์ก่อน

เจสัน บอร์น และ นิกกี้ พาร์สัน

 

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงค่ำๆวันที่สอง แพมเข้าไปถามโนอาห์ตรงๆ เรื่องโปรเจคแบล็คไบอาร์ และแดเนี่ยลไปเกี่ยวได้ยังไง? โนอาห์จึงบอกทุกอย่าง ว่าแบล็คไบอาร์ คือโปรเจคสอดแนมแทรกซึมและลอบสังหารทุกรูปแบบทั่วโลก โดยที่ไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯ สั่งตรงจากที่ฐานบัญชาการหน่วยสอดแนมซีไอเอในนิวยอร์คนี้เลย (ซึ่งเทรดสโตนยังไม่ถึงขั้นนี้)

โนอาห์ยังเล่าต่อไปว่า นีล แดเนี่ยล คือหัวหน้าโปรเจคแบล็คไบอาร์ในโซนยุโรปเหนือทั้งหมด ทำให้นีลรู้ข้อมูลทุกอย่าง ทุกภารกิจ และมือสังหารของแบล็คไบอาร์ทั้งหมดด้วย

 

วันที่ 3..

 

ที่แทนเจีย โมรอคโค ช่วงเช้าวันที่สาม ซีไอเอรู้แล้วว่านีลไปที่แทนเจียเพื่อรอเงินโอนมายังธนาคารที่นี่ โนอาห์จึงสั่งให้ Bouksani Desh นักฆ่าของแบล็คไบอาร์ประจำพื้นที่โมรอคโค สังหารแดเนียลซะ

เดซ นักฆ่าของแบล็คไบอาร์ประจำแทนเจีย โมรอคโค

 

ด้านนิกกี้ก็เข้าระบบเอฟบีไอโดยใช้ล็อคอินตัวเอง และพบว่าซีไอเอรู้แล้วว่านีลอยู่ในแทนเจีย บอร์นจึงให้นิกกี้เข้าดูว่าซีไอเอสั่งใครมาสังหารนีล และคนผู้นั้นคือ เดซ

บอร์นอยากสะกดรอยตามเดซ จึงให้นิกกี้ส่งข้อความหาเดซให้เข้ามาพบนิกกี้ระหว่างทาง เพื่อทำทีว่ามาเปลี่ยนมือถือสั่งงาน จากนั้นบอร์นก็ติดตามเดซไปตั้งแต่จุดที่เดซนัดพบกับนิกกี้นั่นเอง

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงสายๆวันที่สาม โนอาห์รู้แล้วว่าบอร์นก็อยู่ในแทนเจีย และนิกกี้ก็ดูเหมือนจะช่วยบอร์น โนอาห์จึงเพิ่มภารกิจโดยสั่งให้เดซสังหารทั้งคู่หลังจากสังหารนีลแล้ว แพมจึงมีปากเสียงกับโนอาห์ยกใหญ่ เพราะแพมยังเห็นว่านิกกี้คือพวกเดียวกัน โนอาห์กับแพมจึงไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงแล้วในตอนนี้ และแพมก็เดินออกจากห้องไป

เจ้าหน้าที่อาวุโสสองคนตะโกนใส่กันในห้องปฏิบัติการ

 

ที่แทนเจีย โมรอคโค ช่วงสายๆวันที่สาม แต่บอร์นก็ตามเดซช้าไป และเดซก็จุดระเบิดสังหารนีลกลางถนนระหว่างที่นีลอยู่บนรถได้สำเร็จ บอร์นก็โดนแรงระเบิดทำให้หมดสติไปชั่วครู่ คนเริ่มมุงเยอะและตำรวจกำลังมา เดซจึงชิ่งหนีไปก่อน

บอร์นพยายามช่วยนีลแต่ไม่ทัน

 

ที่สุดแล้วแดซซึ่งตามมาฆ่าบอร์นกับนิกกี้ แต่เดซกลับถูกฆ่าซะเอง และบอร์นก็ให้นิกกี้ส่งข้อความไปหาโนอาห์จากโทรศัพท์เดซ ว่าบัดนี้บอร์นกับนิกกี้ตายแล้ว เพื่อซื้อเวลาให้บอร์นได้วางแผนจู่โจมสายฟ้าแลป

ที่แลงลีย์ เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ ช่วงหัวค่ำวันที่สาม โนอาห์รีบโทรรายงานผ.อ. เออร์ซ่า เครเมอร์ ว่าบัดนี้บอร์นกับนิกกี้ตายแล้ว เออร์ซ่าย้ำกับโนอาห์อีกครั้ง ว่าอย่าลืมว่า การที่พวกเราดึงให้แพมเข้ามามีเอี่ยวในวังวนนี้ด้วย นั่นก็เพราะเมื่อแบล็คไบอาร์พัง คนที่จะเป็นแพะ คือแพมนั่นเอง แล้วค่อยมาเริ่มสร้างโปรเจคใหม่ทีหลัง

ที่แทนเจีย โมรอคโค ช่วงกลางดึกวันที่สาม เรื่องต่อจากนี้จะอันตรายมาก บอร์นนั้นไม่อยากให้นิกกี้มาเสี่ยงอีก จึงขอให้นิกกี้หนีไปซะ ส่วนบอร์นจะกลับสหรัฐฯไปลุยเรื่องนี้เองคนเดียวเหมือนที่เคยทำ และนิกกี้ก็ย้อมผมดำตัดผมสั้น ก่อนจะขึ้นรถทัวร์หายไป ตอนนี้นิกกี้จึงกลายเป็นอดีตซีไอเอ และเป็นผู้ร้ายหลบหนีเช่นเดียวกับบอร์นแล้ว

บอร์นมาส่งนิกกี้ขึ้นรถทัวร์

 

วันที่ 4..

 

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงเช้าวันที่สี่ ในห้องทำงานโนอาร์ เรย์ วิล ผู้ช่วยของโนอาห์ ก็เข้ามาแจ้งว่าพบศพแล้ว แต่ไม่ใช่ศพบอร์น เป็นศพของเดซ โนอาห์จึงรู้ว่าบอร์นยังไม่ตาย

ที่ห้องทำงานแพม ในเวลาเดียวกัน ผู้ช่วยแพมก็มาบอกแพมว่า พาสปอร์ตชื่อกิลแบร์โต้ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะสายลับของบอร์น เพิ่งแสดงตัวที่สนามบินนิวยอร์ค เหมือนกับบอร์นจะพยายามส่งข้อความบางอย่างให้แพมรู้ว่าบอร์นมาแล้ว และยังไม่ตาย แพมจึงส่งข้อความประกาศเรียกชื่อกิลแบร์โต้นามแฝงของบอร์นในสนามบินให้บอร์นได้ยิน เพื่อให้บอร์นรู้ว่าแพมรับทราบแล้ว

*หมายเหตุ* ช่วงท้ายภาค 3 และช่วงต้นภาค 4 คือช่วงเวลาเดียวกัน

 

ที่ป่าภูเขาหิมะ ช่วงสายๆวันที่สี่ Aaron Cross (อารอน ครอสส์) หรือที่มีโค้ดเนมว่า Outcome#5 (หมายเลข5) ได้ทำยาสีฟ้าในโครงการหายไป และไม่ได้กินมา 32 ชั่วโมงแล้ว อารอนกินแต่สีเขียว (มีสองเม็ด) อารอนจึงแหกกฏของโปรเจคเอาท์คัม และข้ามภูเขามาที่เขตของ Outcome#3 (หมายเลข3) เพื่อขอแบ่งยา และอารอนก็อยู่ค้างที่กระท่อมหมายเลข 3 ก่อนในคืนนั้น เพื่อจะออกเดินทางกลับเขตตนเองในวันรุ่งขึ้น

หมายเลข 5 และหมายเลข 3

 

ที่นิวยอร์ค สหรัฐฯ ช่วงบ่ายวันที่สี่ บอร์นรีบมาซุ่มดูแพมที่ตึกตรงข้ามฐานซีไอเอในนิวยอร์ค และบอร์นก็เห็นห้องทำงานของโนอาห์ด้วย จึงเห็นว่าโนอาห์หยิบแฟ้มลับโปรเจคแบล็คไบอาร์ที่ยึดมาจากนีล และนำไปเก็บไว้ในตู้เซฟของห้องทำงาน บอร์นจึงคิดแผนได้ทันที

บอร์นโทรหาแพม เพราะรู้ว่าโนอาห์ต้องดักฟังแน่ๆ (ตอนนี้เองที่แพมบอกบอร์นว่า บอร์นมีชื่อจริงคือ เดวิด เวปป์) และบอร์นก็นัดให้แพมออกไปพบข้างนอก ซีไอเอฝ่ายจู่โจมเกือบทั้งตึกจึงออกไปจากตึก เพื่อสะกดรอยตามแพมหวังจะจับตายบอร์น รวมถึงตัวโนอาห์ก็ตามไปด้วย โดยมีเพียงเรย์ผู้ช่วยโนอาห์อยู่ในตึก และนอกนั้นก็มีแต่พนักงานเอกสาร (เรย์โทรแจ้งผู้พันไบเออร์ให้รู้ตอนนี้ ว่าบอร์นกลับสหรัฐฯแล้ว)

นี่คือ ฉากตอนจบของภาค 2 แต่มาอยู่ในช่วงเวลาท้ายภาค 3

 

เมื่อทางโล่ง บอร์นก็ลอบเข้าฐานซีไอเอในนิวยอร์คแบบเงียบกริบ และปลดล๊อคตู้เซฟของโนอาห์นำแฟ้มลับแบล็คไบอาร์ออกมาได้ทั้งหมด ซึ่งระหว่างขโมยแฟ้ม บอร์นก็โทรฯไปเย้ยโนอาห์ด้วย และนี่คือการสนทนากันระหว่างโนอาห์กับบอร์นครั้งแรก

เมื่อบอร์นวางสายไป โนอาห์จึงสั่งให้ซีไอเอทุกคนที่ตามแพมกลับฐานให้หมด และรีบโทรให้เรย์รีบเข้าไปดูในห้องทำงานตนเอง แต่ก็สายไป เพราะบอร์นเอาไปเกลี้ยงตู้เซฟแล้ว สายลับทุกคนและโนอาห์จึงไล่ล่าบอร์นต่อ หลังจากที่บอร์นออกมาจากตึกแล้ว

แปซ นักฆ่าของแบล็คไบอาร์ประจำลอนดอน อังกฤษ ตอนนี้ก็อยู่ที่นิวยอร์คเช่นกัน แปซจึงได้รับคำสั่งด่วนจากโนอาห์ให้ไล่ล่าบอร์น สายลับทั้งคู่ไล่ล่ากันดุเดือดกลางถนน สุดท้ายรถของแปซและบอร์นก็ประสบอุบัติเหต บอร์นยังเดินได้จับปืนได้ แต่แปซหมดสภาพคาพวงมาลัยยังลุกไม่ไหว บอร์นที่เอาปืนจ่อแปซอยู่จึงตัดสินใจไว้ชีวิตแปซ

บอร์นไว้ชีวิตแปซ

 

บอร์นกระโผลกกระเผลกมุ่งหน้าไปที่ตึกฝึกเทรดสโตนที่ตนเคยโดนทดลองทันที ด้านโนอาห์ก็รีบโทรฯให้ดร.เฮิร์ซหนีเพราะบอร์นกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่น แต่ดร.เฮิร์ซไม่หนี แต่จะถ่วงเวลาบอร์นไว้ที่นี่ให้นานที่สุด เพื่อให้พวกซีไอเอตามมาจับบอร์น

ซึ่งทันทีที่บอร์นไปถึงตึกนั้น แพมก็มารออยู่แล้ว และบอกบอร์นว่าเทรดสโตนกับแบล็คไบอาร์ไม่ใช่สิ่งที่ซีไอเอควรจะทำ แพมจึงไม่ขัดขวางบอร์น

แพม เลือกความถูกต้อง

 

บอร์นจึงมอบแฟ้มลับแบล็คไบอาร์ให้แพมเอาไปแฟ๊กซ์ส่งให้นักข่าว เพื่อเปิดโปงเรื่องทุกอย่างให้สื่อมวลชนได้รู้ และบอร์นก็เข้าไปในตึก ทันใดนั้นโนอาห์และซีไอเอลูกน้องโนอาห์ก็บุกมาถึงพอดี แพมจึงรีบหลบฉากเข้าไปในตึกเช่นกัน

บอร์นบุกจนไปเจอดร.เฮิร์ซ และรู้ข้อมูลว่าตนเองเต็มใจเข้ามาในโปรเจคเทรดสโตนด้วยตนเอง บอร์นยินยอมทิ้งชื่อเดวิด เวปป์ ด้วยความสมัครใจ เมื่อผ่านโปรแกรมฝึกทั้งหมด เดวิดจึงได้ชื่อใหม่ว่า เจสัน บอร์น

บอร์นพบดร.เฮิร์ซ

 

พวกซีไอเอเข้ามาถึงตัวบอร์นพอดี และแปซก็มาด้วย บอร์นจึงหนีขึ้นไปบนดาดฟ้าที่สูงถึง 10 ชั้น ที่สุดแล้วแปซก็เข้าใจหัวอกบอร์น ซึ่งเป็นสายลับที่ถูกฝึกอย่างทรมานมาเหมือนกัน และแปซซึ่งเอาปืนจ่อบอร์นอยู่ก็ไว้ชีวิตบอร์น บอร์นจึงกระโดดลงแม่น้ำ แต่โนอาห์ก็ยิงตามไปหนึ่งนัด จึงไม่มีใครรู้ว่าบอร์นเป็นหรือตาย และบอร์นก็หายสาปสูญไป

แปซไว้ชีวิตบอร์น

 

 

4 The Bourne Legacy

 

ด้านผู้พันไบเออร์ตัวแทนฝั่งฝึกสายลับกลาโหม ก็เริ่มสั่งให้สังหารสายลับเอาท์คัมทั้งหมดเช่นกัน (ตอนนี้มีเหลือแค่หกคน) สายลับสามคนที่กระจายอยู่พื้นที่ต่างๆทั่วโลกจึงโดนเปลี่ยนยาควบคุม ให้เป็นยาที่ทำให้เกิดอาการหัวใจวายแทน ทั้งสามคนจึงตายหมด โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นการวางยา ซึ่งที่ตายไปแล้วก็มีหมายเลขหนึ่ง/ หมายเลขสี่/ และหมายเลขหก

เอ้าท์คัมหมายเลขหนึ่ง ที่คาราจี ปากีสถาน

เอ้าท์คัมหมายเลขสี่ ที่โซล เกาหลีใต้

เอ้าท์คัมหมายเลขหก

วันที่ 5..

ที่ป่าภูเขาหิมะ ช่วงสายๆวันที่ห้า ซึ่งยังมีเอ้าท์คัมอีกสองคนที่ไม่โดนวางยา เพราะอยู่ระหว่างโดนทำโทษบนภูเขาหิมะ คือหมายเลขสามและหมายเลขห้า (หมายเลขสองไม่มีการกล่าวถึง)

จากข้อมูลของชิปที่ฝังอยู่ในตัวสายลับของเอาท์คัมทุกคนจึงรู้ว่า หมายเลขห้าและหมายเลขสามอยู่ด้วยกัน ผู้พันไบเออร์จึงสั่งการไปที่ศูนย์ปฏิบัติการการบินอัตโนมัติของกลาโหม เพื่อส่งโดรนติดจรวดมิสไซน์ไปยังภูเขาหิมะทำลายเป้าหมายทั้งสอง

เอ้าท์คัมหมายเลขสาม

 

หมายเลขห้าหรืออารอนนั้นได้ยินเสียงโดรนบินมาตอนเช้า จึงแปลกใจมากเพราะสภาพอากาศเช่นนี้โดรนคงบินลงไม่ได้ (ปกติจะมีโดรนส่งยาและสิ่งจำเป็นมาเป็นประจำ) อารอนจึงตกลงกับหมายเลขสามว่าจะแยกย้ายไปคนละทางเพื่อสังเกตการณ์ เพราะเริ่มผิดปกติแล้ว

เมื่ออารอนวิ่งออกไปจากกระท่อมได้ไกลพอสมควร แต่หมายเลขสามยังเตรียมของอยู่ในกระท่อม โดรนก็ยิงมิสไซน์ระเบิดกระท่อมทันที ผลทำให้หมายเลขสามตายคาที่ และยาที่อารอนต้องการก็ระเบิดไปด้วย แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะโดรนจับเซนเซอร์ได้ว่า ยังมีสายลับอีกคนที่ไม่ตาย และวิ่งออกมาจากบริเวณนั้นแล้ว

อารอน เอ้าท์คัมหมายเลขห้า หนึ่งเดียวที่รอดชีวิต

 

อารอนใช้ยุทธวิธีที่ถูกฝึกมาตั้งแต่สมัยยังเป็นทหาร ใช้ไรเฟิลสไนเปอร์โดรนจนร่วงไป ศูนย์ปฏิบัติการจึงแจ้งผู้พันไบเออร์ว่า มีสายลับคนนึงที่รอดอยู่ เมื่อผู้พันไบเออร์ให้ลูกน้องตรวจสอบชิปที่ฝังอยู่ในตัวสายลับ จึงรู้ว่าสายลับคนนั้นคือทหารลูกน้องเก่าตนเองที่ชื่อ อารอน ครอส ร้อนถึงผู้พันไบเออร์ต้องเดินทางไปควบคุมปฎิบัติการสังหารอารอนด้วยตนเอง และส่งโดรนติดตั้งมิสไซน์ลำที่สองเข้าไปในพื้นที่เพื่อสังหารแอรอน

อารอนผ่าชิปที่ฝังอยู่ในขาและนำไปยัดในตัวหมาป่า ก่อนจะไล่หมาป่าวิ่งไปทาง และอารอนก็วิ่งไปอีกทาง โดรนลำที่สองจึงไล่ตามเป้าชิป และยิงมิสไซน์ใส่หมาป่าแทน และโดรนก็บินกลับไป ผู้พันไบเออร์จึงคิดว่าจัดการอารอนสำเร็จแล้ว และอารอนก็เดินทางเข้าสหรัฐฯทันที

หมาป่า คู่อริของอารอน

 

 

วันที่ 6..

 

ที่บริษัท Sterisyn-Morlanta บริเวณส่วนวิจัยเอ้าท์คัม Donald Foite เพื่อนร่วมงานของดร.มาร์ธา เชอริ่ง เกิดคุ้มคลั่งไล่ยิงเพื่อนๆนักวิจัยในห้องแลปฯ (เพราะโดนเอาท์คัมควบคุมพฤติกรรม) แต่มาร์ธานั้นรอดตายอย่างหวุดหวิด และเมื่อโดนัลด์จนตรอกตำรวจล้อมจับ โดนัลด์จึงยิงตัวตายตามที่ถูกเอาท์คัมโปรแกรมไว้

มาร์ธาเห็นสิ่งผิดปกติในตัวโดนัลด์

 

ที่สถานีตำรวจ มาร์ธาโดนสอบสวนอย่างหนัก ว่าส่วนวิจัยที่สำคัญที่สุดซึ่งมาร์ธาทำงานอยู่นั้น วิจัยเกี่ยวกับอะไร แต่มาร์ธาไม่พูด และมาร์ธาก็คิดถึง อารอน ครอส หรือเอ้าท์คัมหมายเลขห้าขึ้นมา เพราะอารอนเคยพยายามจะบอกมาร์ธาว่าตนทำงานอะไร ซึ่งมาร์ธาไม่อยากรู้

ที่บ้านของมาร์ธา ผู้พันไบเออร์ส่งทีมเก็บกวาดไปสังหารมาร์ธาที่บ้าน แต่อารอนมาถึงบ้านมาร์ธาพอดีเช่นกัน (เหมือนอารอนจะปิ๊งมาร์ธา และอารอนรู้จักมาร์ธาคนเดียวที่อาจจะมียา) อารอนจัดการทีมเก็บกวาดซะตายเกลี้ยง เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตเพราะรออยู่นอกเขตบ้าน

อารอนมาหามาร์ธาก็เพราะต้องการยาเม็ดสีฟ้า และสีเขียวก็กำลังจะหมดแล้วเช่นกัน แต่มาร์ธาไม่มียาที่บ้าน อารอนจึงต้องพามาร์ธาหนีไปก่อน และเผาบ้านมาร์ธากลบเกลื่อนร่องรอย

ระหว่างทางที่กำลังหนี มาร์ธาก็บอกแอรอนว่า ที่สหรัฐฯเลิกผลิตยาแล้ว แต่มีโรงงานผสมไวรัสเอ้าท์คัมซึ่งเป็นต้นแบบยาอยู่ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ อารอนจึงคิดหนักที่ต้องเดินทางข้ามประเทศ

อารอนคาดคั้นมาร์ธาเพื่อเอายา

 

ระหว่างการเดินทางของมาร์ธาและอารอนนั้น มาร์ธาก็เล่าให้อารอนฟังต่อด้วยว่า อารอนไม่จำเป็นต้องกินยาสีเขียวแล้ว เพราะเมื่อหกเดือนก่อนเอ้าท์คัมฝังไวรัสต้นกำเนิดยาไปตรงๆกับอารอนแล้ว

(ยาสีเขียวเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อและสมรรถภาพร่างกาย ยาสีฟ้าเพื่อเพิ่มไอคิวความฉลาดและไหวพริบ ซึ่งยานั้นเกิดขึ้นมาจากการทดลองไวรัสที่ผิดพลาด)

ผู้พันไบเออร์ส่งอีกทีมไปสำรวจบ้านมาร์ธาอย่างละเอียด และพบว่าศพที่อยู่ในบ้านมาร์ธาและถูกเผาจนเกรียม คือศพของทีมเก็บกวาดที่ส่งไปสังหารมาร์ธาก่อนหน้านี้ และทุกศพตายด้วยกระสุนปืน ผู้พันไบเออร์เริ่มชักเอะใจ ว่ามาร์ธาอาจจะมีคนช่วยหนี

ในคืนนั้นเอง อารอนก็เล่าให้มาร์ธาฟังว่า ประวัติอารอนตอนเป็นทหารนั้นเสียชีวิตไปแล้ว และอารอน ครอส คือคนใหม่ที่เป็นสายลับในเอาท์คัม ที่อาสาทดลองเพิ่มประสิทธิภาพให้เป็นสุดยอดทหารทั้งร่างกายและสมองด้วยยา

เคนเนธ เจ. คิทซัม ชื่อเดิมของ อารอน ครอส

 

แต่ถ้าสายลับเอ้าท์คัมขาดยาเม็ดสีฟ้า สมองจะถดถอยและเกิดอาการลงแดงจนตาย อารอนจึงจำเป็นต้องกินยาสีฟ้าให้ได้ ซึ่งน่าแปลกใจที่อารอนรอดมาได้นานขนาดนี้

 

วันที่ 7..

 

ที่สนามบิน ขณะที่อารอนและมาร์ธาเตรียมตัวจะไปมะนิลา ทีวีก็ออกข่าวเรื่องที่ดร.เฮิร์ซหัวใจวายตายเมื่อคืน ซึ่งจริงๆแล้วดร.เฮิร์ซมีกำหนดขึ้นให้การในวันนี้กับสภาสูงสหรัฐฯ ในเรื่องที่พาเมล่า แลนดี้ เปิดโปงโปรเจคแบล็คไบอาร์สุดฉาว ก่อนตายนั้นดร.เฮิร์ซแสดงท่าทีร่วมมือกับสภาสูงให้ข้อมูลเต็มที่

ดร.เฮิร์ซถูกฆ่าตัดตอนปิดปากก่อนขึ้นให้การ

 

ที่มะนิลา ฟิลิปปินส์ อารอนและมาร์ธาก็เดินทางมาถึงโรงงานผสมไวรัสเอ้าท์คัม ซึ่งอารอนต้องการให้มาร์ธาผลิตไวรัสต้นกำเนิดยาสีฟ้าให้อารอน เพื่อที่อารอนจะได้ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป

ที่ฐานบัญชาการเอ้าท์คัมในวอชิงตันซี ผู้พันไบเออร์ได้ข้อมูลจากสนามบินว่า มาร์ธาเดินทางไปโรงงานผสมไวรัสเอ้าท์คัมที่ฟิลิปปินส์ ผู้พันไบเออร์สงสัยมาก ว่ามาร์ธาไปฟิลิปปินส์ทำไม? และตกใจมากขึ้นที่รู้ว่า คนที่ช่วยมาร์ธามาตลอดตั้งแต่รอดจากการถูกสังหารที่บ้านจนถึงตอนนี้ และพามาร์ธาไปถึงฟิลิปปินส์คือ อารอน ครอส

หมายเลขห้าที่ผู้พันไบเออร์คิดว่าตายแล้ว

 

ที่มะนิลา ฟิลิปปินส์ หลังจากมาร์ธาผลิตไวรัสต้นแบบและฉีดให้อารอน ผู้พันไบเออร์ก็โทรฯสายทางไกลไปมะนิลา เพื่อให้รปภ.ขังอารอนเอาไว้อย่าวู่วามจับ แต่อารอนก็พามาร์ธาหนีออกมาจนได้ และเริ่มมีอาการกับไวรัสต้นแบบยาสีฟ้า

มาร์ธาพาอารอนไปนอนพักฟื้นที่โรงแรมถูกๆ อารอนมีไข้ขึ้นสูงมาก ถ้าอารอนรอดตายไปได้ในคืนนี้ อารอนก็ไม่ต้องกินยาอีกเลย และไอคิวกับกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นก็จะคงอยู่เช่นนั้นตลอดไป อารอนไล่ให้มาร์ธาทิ้งเขาไป แต่มาร์ธาก็ไม่ทิ้ง และนั่งเฝ้าอารอนทั้งคืน

ในคืนนั้นเอง สายลับที่มีโค้ดเนมว่า LARX #3 นักฆ่าของโปรเจคลาร์กซ์ก็บินมาที่มะนิลาทันที เพื่อตามล่าสังหารอารอนกับมาร์ธาตามคำสั่งผู้พันไบเออร์ (โปรเจคลาร์กซ์ให้ตัวยาเพิ่มสมรรถนะร่างกาย และล้างสมองได้เสร็จสรรพ ทำให้สายลับไม่กลัวเจ็บกลัวตาย ทำได้ทุกอย่างที่สั่ง ต้นแบบเอ้าท์คัม)

ลาร์กซ์หมายเลขสาม

 

วันที่ 8..

 

-อารอนฟื้นขึ้นมาโดยไม่ตาย ไวรัสที่มาร์ธาปรุงจึงถือว่าสำเร็จ

-แต่ก็ต้องหนีการไล่ล่าของลาร์กซ์หมายเลขสาม

-ลาร์กซ์หมายเลขสามก็ตาย(โดนถีบรถมอเตอร์ไซต์ชนเสา) อารอนจึงหนีรอดจนได้

-มาร์ธาขอร้องชาวประมงท้องถิ่นชาวมะนิลา ให้ช่วยอารอนที่บาดเจ็บจากแผลถูกยิง

-มาร์ธายังขอโดยสารไปกับเรือประมงออกทะเลไปกับอารอนด้วย ทั้งสองหนีไปด้วยกัน

-และผู้พันไบเออร์ก็จัดการอารอนไม่สำเร็จ

-แต่กระทรวงกลาโหมก็ยังปลอดภัยดี ไม่โดนหนักเหมือนซีไอเอ

ผู้พัน ริค ไบเออร์ เครียดหนักที่จัดการลูกน้องเก่าหมายเลขห้าไม่สำเร็จ

 

หลายวันต่อมา.. ที่วอชิงตัน ดีซี งานก็เข้าแพมเต็มๆ เมื่อ โนอาห์ โวเซ่น ให้การบิดเบือนข้อเท็จจริงตามแผนว่า แบล็คไบอาร์ ก็คือโปรเจคจัดการสายลับเทรดสโตนที่ยังเหลือ แต่แพมกลับช่วยผู้ต้องหาเทรดสโตนคือ เจสัน บอร์น หลบหนี ซึ่งแพมไม่มีอำนาจสั่งการที่จะทำอย่างนั้น โชดดีที่หน่วยงานกลาโหมช่วยสกัดกั้นข้อมูลที่แพมส่งให้นักข่าว มิเช่นนั้นเรื่องภายในซีไอเอคงเละเทะกว่านี้

พาเมล่า แลนดี้ ตอนนี้กลับโดนกล่าวหาซะเอง

 

หลังจากโปรเจคนักฆ่าสายลับแบล็คไบอาร์ของซีไอ ถูก พาเมล่า แลนดี้ หรือ แพม แฉออกสู่สาธาณะ เมื่อการสอบสวนจบ เออซ่า เครเมอร์ จึงถูกให้ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ทำให้ โรเบิร์ต ดิวอี้ ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการนั้น ก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการซีไอเอแทนเครเมอร์ (ดิวอี้ คือคนสั่งฆ่าพ่อของบอร์นในยุค 90)

ตัวตนของสายลับในโปรเจคแบล็คไบอาร์ถูกเปิดเผย ทำให้ ดิแอสเสท มือสังหารมือหนึ่งของแบล็คไบอาร์ถูกจับในซีเรีย สร้างความเจ็บใจให้แอสเสทมากที่บอร์นมาแฉตัวตน แอสเสทถูกขังอยู่ 2 ปีที่ซีเรีย ก่อนที่ผ.อ.ดิวอี้จะพาออกมาได้ (แอสเสท คือคนฆ่าพ่อของบอร์นในยุค 90)

 

5 Jason Bourne

 

ปี 2016 บอร์นและนิกกี้ ไม่เจอกันอีกเลยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่แบล็คไบอาร์ถูกเปิดโปง บอร์น ทำแค่เพียงอยู่ในวงการชกมวยใต้ดินไปทั่วยุโรป หาเงินกินใช้ไปวันๆ แต่ นิกกี้ กลับคิดอยากจะทำสิ่งอุกอาจบางอย่าง..

นิกกี้ พาร์สัน

 

ที่เรคยาวิก ไอซ์แลนด์ นิกกี้ใช้รหัสตัวตนของเจ้าหน้าที่เก่าซีไอเอ เจาะเข้าฐานข้อมูลลับในแลงลีย์ เพื่อแฮคข้อมูลโปรเจคลับฝึกนักฆ่าทั้งหมดในซีไอเอ นิกกี้หวังทำลายโปรเจคเหล่านั้นให้หมด ซึ่งมีด้วยกันถึง 10 โปรเจค และโปรเจคล่าสุดคือ IRON HAND (ไอออน แฮนด์) และที่สำคัญ นิกกี้รู้แล้วว่า ริชาร์ด พ่อของบอร์น มีส่วนในโปรเจคเทรดสโตนด้วย 

ที่แลงลีย์ ฐานใหญ่ซีไอเอ อเมริกา Heather Lee (เฮทเธอร์ ลี) หัวหน้าฝ่ายปฎิบัติการลับทางไซเบอร์ของซีไอเอ แกะข้อมูลย้อนรอยไปถึงคอมเครื่องนั้นที่นิกกั้ใช้แฮคในไอซ์แลนด์ได้อย่างรวดเร็ว

เฮทเธอร์ ลี

 

เฮทเธอร์ รีบฝังมัลแวร์ไว้ในข้อมูลโปรเจคลับเหล่านั้น ก่อนจะสั่งตัดไฟที่โกดังในไอซ์แลนด์ที่นิกกี้ใช้คอมแฮค ซึ่งนิกกี้ได้ก็อปปี้ข้อมูลมาครบแล้วในยูเอสบีก่อนจะหนีออกไปได้ แต่เมื่อไหร่ที่ข้อมูลนี้ถูกเปิด เฮทเธอร์จะรู้พิกัดทันที

ที่ห้องประชุมในแลงลีย์ เฮทเธอร์มาสรุปรายงานให้ผ.อ.ดิวอี้รับทราบ เฮทเธอร์ใช้ความสามารถอันล้ำเลิศด้านไซเบอร์ของเธอ แกะรอยระบุตัวตนจนพบว่า คนที่แฮคฐานข้อมูลซีไอเอไปคือ นิกกี้ พาร์สัน อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองซีไอเอ ที่หายตัวไปในเงามืดมานานหลายปี

ผ.อ.ดิวอี้

 

ซึ่งนิกกี้มีความเกี่ยวพันกับ บอร์น อดีตสายลับนักฆ่าที่แสนอันตรายอย่างที่สุดของซีไอเออีกด้วย ดิวอี้ จึงสั่งให้ แอสเสท ตามล่าตัวนิกกี้ทันที โดยมี เฮทเธอร์ เป็นหัวหน้าชุดปฎิบัติการไล่ล่า

ที่แคลิฟอร์เนีย มหาเศรษฐี Aaron Kalloor (แอรอน คาลลัวร์) ผู้ก่อตั้งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค Deep Dream (ดีป ดรีม) และเป็นผู้ได้เงินสนับสนุนจากซีไอเอให้ก่อตั้งเครือข่ายช่วงเริ่มต้น ตั้งแต่ยังไม่ค่อยรวย จนตอนนี้รวยล้นฟ้า  ก็รู้สึกไม่อยากจะใช้ดีปดรีมเป็นเครื่องมือให้ซีไอเอล้วงข้อมูลส่วนตัวประชาชน แอรอนจึงอยากถอนตัว ทำให้ดิวอี้ต้องปวดหัวสองทาง ทั้งจากบอร์นและแอรอน

แอรอน

 

ที่กรีซ นิกกี้นัดพบบอร์นเพื่อบอกเรื่องนี้ ทั้งสองนัดกันในช่วงประท้วงกลางเมืองเพื่ออำพรางตัว นิกกี้บอกได้เพียงเบื้องต้นว่า ริชาร์ดพ่อของบอร์นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทรดสโตน แต่ในที่สุด นิกกี้ก็ไม่รอดแอสเสท โดนสไนเปอร์ตายลงไปในกรีซ บอร์นรีบนำกุญแจล๊อกเกอร์ที่นิกกี้ทิ้งไว้ให้และหนีไป

นิกกี้ โดนแอสเสทยิงตาย

 

ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมัน บอร์นไขล๊อกเกอร์ และพบพิกัดอพาร์ทเม้นต์ที่นึงในเยอรมัน และพบยูเอสบีด้วย เมื่อบอร์นมาถึงอพาร์ทเม้นต์นี้ จึงพบกับ คริสเตียน แฮคเกอร์ที่ร่วมงานกับนิกกี้ บอร์นให้คริสเตียนเปิดยูเอสบี ทันใดนั้นมัลแวร์ก็แจ้งเตือนไปบอกที่คอมบนโต๊ะทำงานเฮทเธอร์ทันที

ที่แลงลีย์ ฐานใหญ่ซีไอเอ อเมริกา ขณะที่บอร์นได้อ่านข้อมูลว่า พ่อของตนเกี่ยวพันกับเทรดสโตนจริงๆ โดยในเวลาเดียวกันนี้ เฮทเธอร์ก็แฮคกล้องวงจรปิดในตึกแถวนั้นเพื่อดูความเคลื่อนไหวบอร์นในห้อง และแฮคมือถือของคริสเตียนเพื่อลบข้อมูลเหล่านั้นในคอมที่บอร์นกำลังอ่าน (เฮทเธอร์นี่ เก่งไอทีจริงๆ)

ที่ลอนดอน อังกฤษ บอร์นได้ชื่อของ Malcolm Smith (มัลคอล์ม สมิธ) ซึ่งดูแลบอร์นในช่วงบอร์นฝึก แม้รู้ทั้งรู้ว่า มีซีไอเอยุบยับแน่ๆถ้ามาพบมัลคอล์ม แต่บอร์นก็มาเค้นข้อมูลกับมัลคอล์มจนได้ จึงพบว่า พ่อของตนพยายามขัดขวางไม่ให้ตนเข้าเทรดสโตนจึงถูกฆ่า บอร์นจับได้ว่ามัลคอล์มใช้หูฟังสื่อสารกับซีไอเอ จึงเอาหูฟังนั้นมาฟังเอง ทันใดนั้น แอสเสทก็โผล่มายิงมัลคอล์มตายไป เมื่อบอร์นเห็นหน้าแอสเสท จึงจำได้ในตอนนี้เองว่า แอสเสท ฆ่าพ่อของตน ก่อนบอร์นจะตกตึกและหนีไป

แอสเสท

 

บอร์นได้ยินการสนทนาทุกอย่างของซีไอเอ บอร์นจึงตามมาจับตัวเฮทเธอร์ ซึ่งเฮทเธอร์ก็คิดกลับใจช่วยบอร์นแล้วในตอนนี้ เพราะเฮทเธอร์รู้แล้วว่า ดิวอี้ กำลังทำเรื่องเลวร้ายอยู่

ที่ลาสเวกัส เฮทเธอร์พาบอร์นมาในงานแถลงเปิดตัว ดีป ดรีม เน็ตเวิร์คใหม่ของแอรอน ในงานนี้ดิวอี้รู้พร้อมๆกัน ว่าเฮทเธอร์ช่วยบอร์น และแอรอนกำลังจะแฉซีไอเอ ดิวอี้จึงสั่งให้แอสเสทฆ่าให้หมดทั้ง 3 คนที่อยู่ในงาน ทั้งบอร์น ทั้งแอรอน และ เฮทเธอร์

เฮทเธอร์ ตกที่นั่งลำบาก

 

เป้าชัดที่สุดคือ แอรอน ที่กำลังแถลงข่าวแฉ แอสเสทกำลังจะสไนเปอร์แอรอน แต่บอร์นใช้สปอตไลท์ส่องตาแอสเสท ทำให้แอรอนไม่โดนยิงจุดตาย และเฮทเธอร์ ก็หลบฉากทันในช่วงโกลาหลที่ผู้คนแตกตื่น

ด้านทางดิวอี้ รู้ว่าบอร์นต้องมาหาตน จึงไม่หนีออกจากงาน หากแต่ขึ้นไปห้องพักแทน เพื่อรอพบบอร์น และบอร์น ก็มาจริงๆ

ดิวอี้กับบอร์น

 

ระหว่างที่บอร์นกำลังคุยกับดิวอี้ ผู้ช่วยดิวอี้ก็โผล่มายิงบอร์น บอร์นยิงกลับ โดนยิงทั้งคู่ บอร์นกำลังจะโดนดิวอี้ยิงซ้ำขณะบาดเจ็บ แต่เฮทเธอร์ก็โผล่มายิงดิวอี้ บอร์นหยิบปืนเฮทเธอร์มา และบอกเฮทเธอร์ให้ออกไป เธอไม่เคยมาในห้องนี้ บอร์นออกไปตามล่าแอสเสทต่อ ไล่ล่าไปทั่วลาสเวกัส และสังหารแอสเสทลงไปได้สำเร็จ

ที่วอชิงตันดีซี อเมริกา หลายวันต่อมา.. เฮทเธอร์ ยื่นข้อเสนอกับ Edwin Russell (เอ็ดวิน รัสเซลล์) ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) เรื่องที่ให้แอรอนทำงานต่อไป ไม่ต้องไปยุ่งกับเค้า เพราะคนแบบนี้ไม่ยึดติดอดีต มองแต่อนาคต

ผ.อ.รัสเซลล์

 

เฮทเธอร์เสนอตัวเองให้ผ.อ.รัสเซลล์ แต่งตั้งตนเป็นผู้อำนวยการซีไอเอคนใหม่ ส่วนเรื่อง เจสัน บอร์น เธอจะกล่อมให้กลับมารับใช้ชาติ หลังจากเธอซื้อใจบอร์นได้แล้วในการช่วยเหลือที่เวกัส ผ.อ.รัสเซลล์จึงถามกลับว่า แล้วถ้าบอร์นปฎิเสธล่ะ? เฮทเธอร์จึงตอบ ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ก็กำจัดบอร์นซะ

หลังจากเฮทเธอร์สนทนากับผ.อ.รัสเซลล์และลงจากรถผ.อ.รัสเซล กำลังเดินไปขึ้นรถตนเองขับกลับ บอร์นก็ตามมาคุยด้วยระหว่างทางที่เฮทเธอร์เดิน เฮทเธอร์พยายามกล่อมบอร์นให้กลับมาอยู่ซีไอเอ แต่บอร์น ขอคิดดูก่อน

เฮทเธอร์มาคุยกับบอร์น

 

ในรถเฮทเธอร์ บอร์นทิ้งเทปบันทึกภาพและเสียงไว้ในเบาะรถเฮทเธอร์ เป็นภาพที่บอร์นถ่ายจากรถที่ขับตามหลังรถผ.อ.รัสเซลล์และมีเสียงชัดเจน ช่วงที่เฮทเธอร์สนทนาว่า ถ้ากล่อมบอร์นไม่ได้ ก็กำจัดซะ เฮทเธอร์จึงรู้ว่า บอร์นไม่ไว้ใจเธอแล้วในตอนนี้

 

จบ สวัสดีครับ _/\_

ผู้เขียน หลวงจีนหอไตร

Hello! Every one. จุดเริ่มต้นงานเขียนของผมก็คือ ผมเป็นนักอ่านก่อนครับ และที่ผ่านมาผมก็หาอ่านงานเขียนแนวสรุปภาพยนตร์ยากเย็นเหลือเกิน ผมจึงเริ่มเขียนบทความเองและสร้างเว็บไซต์เองซะเลย

ดูโพสท์ทั้งหมด